ยุทธการปิดจมูก

ในที่สุด กกต.ก็ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคก้าวไกล ซึ่งตามกระบวนการแล้วมีการคาดเดาว่าน่าจะมีการชี้ขาดขั้นสุดท้ายในปลายเดือนพฤษภาคม


ในที่สุด กกต.ก็ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคก้าวไกล ซึ่งตามกระบวนการแล้วมีการคาดเดาว่าน่าจะมีการชี้ขาดขั้นสุดท้ายในปลายเดือนพฤษภาคม ซึ่งผลลัพธ์เป็นที่คาดเดาได้ไม่ยากว่าพรรคก้าวไกลคงจะถูกยุบพรรคตามเจตนา “ตัดไผ่อย่าไว้กอ”

แท้ที่จริงแล้ว กกต.อาจจะไม่ต้องถึงขั้นเสนอให้ยุบพรรคก้าวไกลก็ได้ เพราะหลังจากคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมาระบุว่าการขอแก้ไขมาตรา 112 ของกฎหมายอาญาถือเป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญและระบบการปกครองจนทำให้พรรคก้าวไกลไม่สามารถดำเนินการต่อในเรื่องการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 อยู่แล้ว แต่กกต.ยังอ้างต่อไปอีกว่าเป็นการดำเนินการตามกฎหมาย  ซึ่งเป็นคำกล่าวอ้างที่ถูกใจพวกอนุรักษนิยมทั้งหลายในแง่ที่ว่า “ตัดไผ่อย่าไว้กอ”  ซึ่งถือเป็นการปิดจมูกของคนที่จมน้ำไม่ให้หายใจอีกต่อไป

ปฏิบัติการตัดไผ่อย่าไว้กอนี้เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์เมื่อราชวงศ์จักรีมีความเห็นพ้องต้องกันว่า เจ้าฟ้าเหม็น ราชโอรสของพระเจ้าตากสินจะต้องถูกกำจัดลง เพื่อไม่ให้เหลือซากฟื้นคืนอำนาจของราชวงศ์พระเจ้าตากสินด้วยปฏิบัติการอีกาคาบข่าวอันอื้อฉาวโด่งดัง

ปฏิบัติการอีกาคาบข่าวเกิดขึ้นโดยกล่าวอ้างว่า อีกาตัวหนึ่งบินผ่านพระราชวังและทำจดหมายฉบับหนึ่งหล่นลงมา ในจดหมายนั้นมีใจความว่าเจ้าฟ้าเหม็นได้นัดแนะกับพวกขุนนางให้มาร่วมเป็นกบฎโค่นล้มรัชกาลที่ 3 ข้อความในจดหมายดังกล่าวได้ถูกนำมากล่าวโทษเจ้าฟ้าเหม็นจนถูกประหารชีวิต ทั้งที่ข้อกล่าวหาไม่สมจริงเลย จนเป็นที่มาของคำว่า “อีกาคาบข่าว” และ “ตัดไผ่อย่าไว้กอ”

ปฏิบัติการของกกต. ในการเสนอให้ยุบพรรคก้าวไกลก็ไม่ต่างจากกรณีเจ้าฟ้าเหม็นแต่อย่างใด เพราะข้อเสนอให้ยุบพรรคดังกล่าวนั้นเป็นเพียงขั้นตอนตามกฎหมายของคนที่กดดันให้ยุบพรรคตามปกติธรรมดา

ทั้งนี้เพราะว่าพรรคก้าวไกลไม่สามารถดำเนินการใด ๆ เพื่อแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 อยู่แล้ว การเสนอให้ยุบพรรคก็ไม่มีความหมายใด ๆ ทั้งสิ้นเพราะพรรคก้าวไกลเสมือนคนเป็นอัมพาตนอนรอความตายอยู่แล้ว แต่ข้อเสนอให้ยุบพรรคนี้ก็เปรียบเสมือนเอามือปิดจมูกไม่ให้หายใจ

แต่ปฏิบัติการปิดจมูกนี้ คือการปิดหูปิดตาประชาชนที่เลือกพรรคก้าวไกลทั้งระดับเขตและระดับบัญชีรายชื่อ ซึ่งใช้สิทธิแสดงเจตนารมณ์ภายใต้ระบบการเลือกตั้งแบบเปิด นับเป็นการปฏิเสธเจตนารมณ์ของมวลชนอย่างปล้นกลางแดด

ปฏิบัติการปิดจมูกไม่ให้พรรคการเมืองที่เสนอตัวเข้ามาต่อสู้ในระบบการเมืองแบบเปิดด้วยการทำลายล้างให้สิ้นซากจึงเป็นความอำมหิตที่ปฏิเสธข้อเท็จจริงของการเปิดให้เสียงของประชาชนได้รับการรับฟังด้วยการมีส่วนร่วม ซึ่งถือได้ว่าเป็นการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จแบบที่พระนเรศวรเคยกล่าวไว้ในจดหมายเหตุวันวลิต (ซึ่งเป็นชื่อของพ่อค้าชาวดัตช์นามว่าฟอนฟลิต) ที่พระนเรศวรประกาศว่าราษฎรเป็นเหมือนหญ้าในสนาม ต้องหมั่นตัดให้เรียบเพื่อให้เสมอหน้ากัน จึงจะมีสนามหญ้าที่สวย ซึ่งทฤษฎีดังกล่าวใช้ไม่ได้กับระบบประชาธิปไตย เพราะจะทำให้กษัตริย์อยู่เหนือกฎหมายและแบ่งแยกจากประชาชน เสมือนหนึ่งกษัตริย์เป็นส่วนเกินของสนามหญ้าโดยปริยาย

ปฏิบัติการปิดจมูกจึงถือเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่ง เพราะเป็นการผลักดันผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ออกไปต่อสู้ด้วยวิธีการอื่น ๆ นอกเหนือจากวิธีการของระบบเลือกตั้งแบบเปิด

Back to top button