YGG หุ้นใหญ่ไปแล้ว.!?
น่าฉงนสงสัย..ทำไม๊ทำไม..รอบเดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น YGG ปรับขึ้นกว่า 7% สวนดัชนี mai ที่รูดลงกว่า 4% เสมือนดั่งว่าจะมีดีลใหญ่อะไรอ๊ะเปล่า..!??
น่าฉงนสงสัย..ทำไม๊ทำไม..รอบเดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นบริษัท อิ๊กดราซิล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ YGG ปรับขึ้นกว่า 7% สวนดัชนี mai ที่รูดลงกว่า 4% เสมือนดั่งว่าจะมีดีลใหญ่อะไรอ๊ะเปล่า..!??
แต่ปรากฏว่า..ไม่ใช่ “ดีลใหญ่” แฮะ แต่กลายเป็น “ขายล็อตใหญ่” ไปซะอย่างนั้น..!!!
โดยพบว่า เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2567 มีการทำรายการขายบิ๊ิกล็อตหุ้น YGG จำนวน 3 รายการ รวมกัน 36 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 8 บาท แบ่งเป็น ก้อนแรก จำนวน 1 ล้านหุ้น ทำรายการผ่าน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ส่วนก้อนที่ 2 จำนวน 14 ล้านหุ้น และก้อนสุดท้าย จำนวน 21 ล้านหุ้น ทำรายการผ่านบล.จีเอ็มโอ-แซดคอม (ประเทศไทย)
คงอยากรู้กันใช่มั้ยว่า คนที่ขายบิ๊กล็อตครั้งนี้เป็นไผ..??
ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก…แต่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ที่มีชื่อเสียงเรียงนามว่า “ศรุต ทับลอย” นั่นเอง ส่งผลให้เหลือถือหุ้นสัดส่วน 7.72% จากเดิมถือสัดส่วน 13.7%
ที่จริงแล้ว “ศรุต” ไม่ได้เป็นแค่ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ YGG เท่านั้น แต่ยังมีสถานะเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอีกด้วย โดยในปี 2552 “ธนัช จุวิวัฒน์” ผู้ก่อตั้งอีกคน (ปัจจุบันเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 สัดส่วน 41.14%) กับ “ศรุต” ซึ่งมีความฝันเหมือนกัน ต้องการให้งานกราฟิกดีไซน์ของคนไทยเป็นที่ยอมรับในระดับโลก จึงร่วมกันก่อตั้ง “อิ๊กดราซิล กรุ๊ป” ขึ้นมา
ช่วงแรก ๆ เริ่มด้วยการรับงานตัดต่อภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวเกี่ยวกับงานโฆษณาและภาพยนตร์ ก่อนที่เวลาต่อมาจะขยายไปสู่งานออกแบบและจัดทำคอมพิวเตอร์กราฟิกเกี่ยวกับงานโฆษณา ภาพยนตร์ และเกม ซึ่งทั้งสองคนร่วมกันปลุกปั้น “อิ๊กดราซิล กรุ๊ป” จนเติบใหญ่ เป็นที่ยอมรับและรู้จักมากขึ้น กระทั่งปี 2563 (วันที่ 7 ม.ค. 2563) ก็ผลักดันเข้าตลาด mai ด้วยราคาไอพีโอ 5 บาท
ด้วยผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่อง (มีปี 2566 นี่แหละที่สะดุด กำไรย่อลง) ประกอบกับเป็นธุรกิจเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ เลยทำให้หุ้น YGG เป็นหุ้นเกมตัวหนึ่งที่อยู่ในความสนใจของนักลงทุน มาช่วงพักหลัง ๆ ที่เงียบหายไป…
ดังนั้น การเห็น “ศรุต” ซึ่งเป็นทั้งผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้ร่วมก่อตั้งขายบิ๊กล็อตออกมา ถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีอะไรหรือเปล่า..???
หรือเป็นการส่งสัญญาณว่าผู้ถือหุ้นใหญ่ (เบอร์ 2) ไปแล้ว…ไม่เอาแล้วป๊ะเนี่ย..!!??
ที่แน่ ๆ การขายหุ้นครั้งนี้ “ศรุต” จะฟันกำไรไป 270 ล้านบาท เนื่องจาก “ศรุต” มีต้นทุนหุ้น YGG เพียง 0.50 บาท (คำนวณจากราคาพาร์) ทำให้มีกำไรส่วนต่างจากราคาหุ้นครั้งนี้ 7.50 บาทต่อหุ้น…น่าอิจฉาจัง..!!
ว่าแต่ “ศรุต” จะขายออกมาอีกหรือเปล่า..?? อันนี้ก็น่าคิด
โอเค…การที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ขายหุ้นออกมา อันนี้ทำได้…ไม่ผิดอะไร..!!
แต่…ที่น่าจับตาคือขายให้ใคร..??
หลัก ๆ การขายหุ้นแบ่งเป็น 3 กลุ่ม…1)ขายให้บุคคลทั่วไป อาจจะเป็นเสี่ยโน่น เสี่ยนี่ นักลงทุนรายใหญ่ ก็ว่ากันไป
2)ขายให้กองทุนฯ ถือเป็นเรื่องที่ดี นั่นหมายความว่า กองทุนฯ เห็นถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งของบริษัทจึงเข้ามาถือหุ้น
แต่อีกด้านหนึ่ง หากกองทุนฯ ที่เข้ามาถือเป็นประเภทกองทุนส่วนบุคคล หรือไพรเวตฟันด์ ก็อาจถูกตั้งคำถามได้..?? เนื่องจากหลายบริษัทตั้งไพรเวตฟันด์เข้ามารับ…ไม่ใช่กองทุนฯ จริง ๆ
ลักษณะแบบนี้เคยเกิดขึ้นกับหลายบริษัทในตลาด ซึ่งสุดท้ายเจ้าของรวย…ได้เงินก้อนโตเข้ากระเป๋า แต่ถามว่าบริษัทได้อะไร..??
และ 3)ขายให้สตราทีจิคพาร์ตเนอร์ กับกลุ่มที่เกี่ยวข้องกัน สามารถ synergy ต่อยอดธุรกิจกันได้
ว่าแต่..!! รายใหญ่ขายแบบนี้ ถ้าบริษัทดีจริงทำไมต้องขาย..??
หรือพันธมิตรอยากได้…จึงจำใจต้องขาย..?? ก็ไม่รู้สินะ
เหล่านี้เป็นคำถามที่ติดอยู่ในใจของนักลงทุน โดยเฉพาะผู้ถือหุ้นรายย่อย 8,212 ราย คงอยากรู้คำตอบ…ดูออกแหละ…
…อิ อิ อิ…