PTTEP ราคาท้าทายมรสุม

เมื่อวานนี้ราคาหุ้นปตท.สผ. (PTTEP) ปิดตลาดอยู่ที่ 151 บาท ซึ่งเป็นราคาที่นักวิเคราะห์ถือว่าแพงเกินเหตุ เพราะคาดหมายว่าราคาหุ้นนี้น่าจะต่ำกว่า 110 บาท หลังจากที่บริษัทได้ทำกำไรสุทธิงวดสิ้นปีที่ผ่านมาสูงถึง 90,000 ล้านบาทซึ่งเป็นกำไรที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา เพราะคาดหมายว่าในปีนี้น่าจะมีกำไรลดลงเนื่องจากราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติตกต่ำลง และที่สำคัญมูลค่าสินค้าที่ยังไม่ได้ขุดขึ้นมาน่าจะมีมูลค่าลดต่ำลงไปด้วย

การที่ราคาหุ้นของบริษัทเสาหลักของปตท.ยังคงยืนหยัดอยู่ได้เพราะนักลงทุนรายใหญ่และนักลงทุนสถาบันยังคงคาดหมายถึงอนาคตของบริษัทในทางบวกจากความสามารถในการทำกำไรมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์

ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ยังคงมีอยู่เพราะเชื่อมั่นว่าบริษัทน่าจะได้รับผลประโยชน์เต็มที่จากการรับโอนสัมปทานในอ่าวไทยต่อจากกลุ่มเชฟรอนที่ถ่ายโอนสิทธิมาให้ปตท.อย่างเต็มที่ ในแหล่งเอราวัณและแหล่งบงกช ขณะที่การโอนสัมปทานอย่างขยักขย่อนใน 2 ปีที่ผ่านมาทำให้บริษัทเสียผลประโยชน์ในการทำรายได้ค่อนข้างมาก

การรับโอนสัมปทานที่ทำให้ PTTEP ได้รับสิทธิสัมปทานเพียงเจ้าเดียวในอ่าวไทย อาจจะเป็นชัยชนะทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญของบริษัทน้ำมันไทยหลังจากปล่อยให้บริษัทยูโนแคลซึ่งเป็นบริษัทในเครือของเชฟรอนอเมริกาครอบครองสิทธิมานานกว่า 30 ปี นอกเหนือจากการที่บริษัทเป็นตัวแทนของประเทศไทยในการสำรวจและขุดเจาะก๊าซธรรมชาติในโอมานและอียิปต์ และยังถือครองหุ้นบางส่วนในการขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่งแอฟริกาตะวันออกที่เริ่มให้ผลผลิตและรายได้สม่ำเสมอนอกเหนือจากประสบการณ์และความรู้ในการขุดเจาะน้ำมันระดับโลก

ถึงแม้ว่า PTTEP จะยังเป็นผู้เล่นรายย่อยในระดับโลก แต่ก็เพียงพอสำหรับการสร้างหลักประกันในการเข้าสู่ธุรกิจระยะยาวสำหรับตลาดที่มีความเสี่ยงสูงและกำไรสูงในระดับต้นน้ำได้อย่างดียิ่ง

ความเชื่อมั่นของนักลงทุนดังกล่าวเกิดจากการที่ PTTEP มีอัตรากำไรและการเติบโตของรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าพึงพอใจในฐานะที่เป็นบริษัทสำรวจและขุดเจาะน้ำมันปิโตรเลียมในตลาดหุ้นเพียงรายเดียว แม้จะถูกกล่าวหาว่าเป็นบริษัทที่ทำการผูกขาดธุรกิจขุดเจาะและสำรวจน้ำมันก็ตาม

ราคาหุ้นของ PTTEP ที่กลับมายืนเหนือ 150 บาทอีกครั้ง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแม้ว่าจะไม่ถูกใจนักวิเคราะห์ก็ตาม

เพียงแต่ราคาระดับนี้ถือว่าเป็นระดับราคาที่ท้าทายมรสุมพอสมควร