พาราสาวะถี
ถือเป็นสัญญาณดีที่พลตำรวจเอก วัชรพล ประธาน ป.ป.ช. แสดงความเห็นด้วยต่อการที่ เศรษฐา ทวีสิน พร้อมจะผลักดันเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์
ถือเป็นสัญญาณดีที่พลตำรวจเอก วัชรพล ประสานราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. แสดงความเห็นด้วยต่อการที่ เศรษฐา ทวีสิน พร้อมจะผลักดันเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งรวมไปถึงกาสิโนถึงบ่อนพนันถูกกฎหมายด้วย หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบรายงานผลการพิจารณาศึกษาเรื่องการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร พร้อมทั้งรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญที่ศึกษาเรื่องนี้ โดยมองว่าหากมีข้อดีมากกว่าข้อเสียก็ควรจะดำเนินการ
ในฐานะอดีตคนแวดวงสีกากีและเคยทำหน้าที่รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจเอก วัชรพล ย่อมรู้ดีถึงพวกเศรษฐกิจสีเทา โดยเฉพาะบ่อนการพนัน จึงให้ความเห็นว่า อะไรก็ตามที่ไม่ถูกกฎหมายก็มีคนพร้อมที่จะให้บริการทางด้านนั้นด้วยค่าตอบแทนที่ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นต้องทำให้ถูกต้อง สามารถควบคุมได้ รวมถึงจะทำให้เกิดภาษีที่จะสามารถนำมาพัฒนาประเทศ รวมถึงลดปัญหาตำรวจที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะได้ทำหน้าที่ที่ถูกต้อง
แม้จะไม่พูดจี้จุดโดยตรง แต่สิ่งที่ประธาน ป.ป.ช.ได้สื่อสาร ก็เป็นที่เข้าใจได้ว่า น่าจะมีส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับปัญหาของแวดวงสีกากีที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้ ปัญหาของสองบิ๊กตำรวจกับเงินที่ไม่ถูกกฎหมาย อันหมายถึงการพนัน ไม่ว่าจะบ่อนหรือพนันออนไลน์ก็ตาม โดยชี้ว่าถ้าทำให้ถูกกฎหมาย เงินภาษีจากการเปิดกาสิโนก็นำไปพัฒนาตำรวจ ไปสนับสนุนให้พร้อมในการทำงาน “ให้เขาได้ทำหน้าที่ได้โดยไม่ต้องไปพึ่งพาอะไรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะไม่อ้างว่าใช้เงินผิดกฎหมายมาทำงานราชการ”
หลังจากนี้ก็เป็นภารกิจของรัฐบาล โดย ครม.จะต้องศึกษารายงานที่สภาให้ความเห็นชอบพร้อมทั้งผลศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อที่จะทำเป็นร่างพระราชบัญญัติสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. …. เสนอกลับไปให้สภาพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป แน่นอนว่า หากไม่มองกันแบบดัดจริต เหมือนพวกมือถือสากปากถือศีล กาสิโนจะเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของสถานบันเทิงครบวงจรเท่านั้น โดยพื้นที่ในการเล่นการพนันหรือ Gaming floor มีสัดส่วนแค่ 3-10% ของพื้นที่ทั้งหมด
ถ้ากฎหมายฉบับนี้ผ่าน ประเทศไทยจะมีการลงทุนเมกะโปรเจกต์ มีคณะกรรมการในการกำหนดแนวทางการพัฒนา จะสามารถมีสนามกีฬานานาชาติแห่งใหม่ มีศูนย์ประชุมขนาดใหญ่ พื้นที่แสดงคอนเสิร์ตหรือ concert Hall พื้นที่จัดแสดงสินค้าพื้นบ้าน โรงแรมระดับห้าดาว ห้างสรรพสินค้าหรูหรา ที่สำคัญจะถือเป็นก้าวหนึ่งที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาบ่อนพนัน ปัญหาที่ผู้อ้างศีลธรรมทั้งหลายคัดค้านไม่ว่าจะเรื่องการมอมเมา อาชญากรรมต่าง ๆ มันอยู่ที่การบริหารจัดการ และมาตรการที่จะกำกับดูแล
เหมือนที่เศรษฐาพูดอย่างตรงไปตรงมา ต้องยึดหลักความเป็นจริง เอาเศรษฐกิจสีเทาขึ้นมากำกับดูแล และเก็บภาษีได้อย่างถูกต้อง รัฐบาลไม่ได้ต้องการส่งเสริมการพนัน แต่ต้องการกำกับดูแลให้มีประสิทธิภาพ แก้ปัญหาผู้มีอิทธิพล และนำรายได้จากการส่งเสริมการลงทุนขนาดใหญ่มาใช้ในการพัฒนาประเทศ สร้างงาน สร้างอาชีพ ที่ผ่านมา เราเสียเวลาและโอกาสมามากพอแล้ว ดังนั้น รัฐบาลจะทวงคืนเวลาที่สูญเสียไปให้กลับมาเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจของประเทศ และประชาชน
กรณีนี้ฝ่ายตรงข้ามก็ย่อมหยิบยกเอาไปเป็นประเด็นโจมตีได้ว่า รัฐบาลหน้ามืดมองแต่ประโยชน์ที่ตัวเองจะได้รับ หวังเม็ดเงินมาเดินหน้าเศรษฐกิจที่ฝ่ายกุมอำนาจต้องการสร้างผลงาน ทั้งที่ความจริงเรื่องการเสียเวลา และเสียโอกาสที่เศรษฐาว่านั้น มีหลักฐานเชิงประจักษ์ก็คือ ประเทศสิงคโปร์สามารถดึงดูดการลงทุนได้กว่า 300,000 ล้านบาท เก็บภาษีได้ปีละกว่า 20,000 ล้านบาท และจ้างงานกว่า 20,000 ตำแหน่งจากการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร
อีกประการคือ บ่อนในประเทศเพื่อนบ้านที่เมื่อไปสำรวจตรวจสอบแล้ว ก็จะพบว่า นักพนันที่เข้าไปเสี่ยงโชคนั้น ส่วนใหญ่เป็นคนไทย ตรงนั้นอาจเรียกได้ว่า เป็นการเปิดเพื่อรองรับเม็ดเงินสีเทาจำนวนมหาศาลที่เป็นเรื่องผิดกฎหมายในประเทศไทย ขณะที่สถานบันเทิงครบวงจรตามแนวทางที่กำลังจะเป็นนั้น ไม่ใช่แค่จะทำให้บ่อนพนันในประเทศหมดไป บรรดาเซียนทั้งหลายจะได้เล่นกันถูกกฎหมาย ตำรวจไม่ต้องไปรีดไถ หรือเล่นแร่แปรธาตุเหมือนปัจจุบัน แต่ทุกอย่างจะเป็นระบบ ระเบียบ และมีความเป็นสากล
หมายถึงสามารถที่จะดึงดูดทั้งนักพนัน นักท่องเที่ยวที่มีฐานะ ต้องการสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่ตอบสนองความบันเทิงได้แบบครบวงจร ทั้งหมดจะถือเป็นบทพิสูจน์ฝีมือในการวางแผนบริหารจัดการทั้งระบบของเศรษฐาและรัฐบาล นอกเหนือจากข้อดีที่สาธยายให้ประชาชนได้รับรู้แล้ว ข้อเสียหรือปัญหาด้านลบต่าง ๆ ก็ต้องแจกแจงให้กระจ่าง รวมทั้งชี้แจงวิธีการป้องกัน แก้ไขให้ชัดเจนด้วย หากทำได้เช่นนี้เสียงที่คัดค้านคงหนีไม่พ้น แต่จะไม่หนักหน่วง รุนแรง จนต้องเก็บโครงการเข้าลิ้นชักเหมือนที่ผ่านมา
กลางสัปดาห์นี้สภาผู้แทนราษฎร มีวาระพิจารณาสำคัญคือการซักฟอกรัฐบาลโดยไม่ลงมติตามมาตรา 152 ประเด็นที่ถูกจับตามองคงหนีไม่พ้นเรื่องพาดพิงไปถึง ทักษิณ ชินวัตร เพราะในการตั้งกระทู้ถามทั่วไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รังสิมันต์ โรม จากก้าวไกลก็ถามเรื่องการคุมตัวนักโทษไปคุมขังนอกเรือนจำ โจมตีไปที่อดีตนายกฯ โดยตรง มีการโต้ตอบกับ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พอสมควร ท่ามกลางการประท้วงของ สส.เพื่อไทย ขนาดแค่กระทู้ยังดุเดือด แล้วการซักฟอกจะไม่ดุเด็ดเผ็ดมันได้อย่างไร
กรณีนี้ แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยืนยันแล้วว่า ไม่ห่วงอะไร เพราะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ และตอบได้อยู่แล้ว ซึ่งตนให้ข้อมูลที่จำเป็นกับ สส.ไว้แล้ว แสดงให้เห็นว่างานนี้จะมีองครักษ์ที่คอยตอบโต้พรรคฝ่ายค้านอย่างไม่ลดราวาศอกเช่นเดียวกัน บางทีข้อมูลที่รัฐมนตรีชี้แจงอาจจะเป็นทางการไป การใช้ข้อมูลเชิงลึกที่เป็นเรื่องส่วนบุคคลมาอธิบายผ่านตัวแทนของพรรคแกนนำรัฐบาล จึงน่าจะตรงเป้าเข้าจุดมากกว่า การเริ่มออกงานบ่อยขึ้น นั่นเท่ากับว่า ทักษิณไม่ได้กลัวใครมาจับผิด หรือใส่ร้ายป้ายสี คนที่ผ่านประสบการณ์อันโชกโชนมาแล้ว ย่อมรู้ว่าสิ่งไหนดีไม่ดี มีคุณหรือให้โทษกับพรรคพวกตัวเอง