‘โอ้กะจู๋’ ไอพีโอหลานปู่ปตท.
หลังจากเมื่อปี 2564 OR ส่งบริษัทลูกที่ชื่อ มอดูลัส เวนเจอร์ เข้าถือหุ้นใน ปลูกผักเพราะรักแม่ ซึ่งดำเนินกิจการร้านอาหารเพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ “โอ้กะจู๋”
หลังจากเมื่อปี 2564 บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ส่งบริษัทลูกที่ชื่อบริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด เข้าถือหุ้น 20% ในบริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด ซึ่งดำเนินกิจการร้านอาหารเพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ “โอ้กะจู๋” มูลค่าราว 500 ล้านบาท
ก็ทำให้ “โอ้กะจู๋” มีสถานะเป็นหลานนอกไส้ของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ไปโดยปริยาย…
โอเค…แม้ไม่ใช่หลานในไส้ แต่ “โอ้กะจู๋” เป็นหนึ่งในคีย์แมนของ OR ที่ช่วยหนุนพอร์ตนอนออยล์ให้เติบใหญ่..!!
โดยหมุดหมายก่อนหน้านี้ จะผลักและดัน “โอ้กะจู๋” เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปี 2567
ล่าสุดผู้บริหาร “โอ้กะจู๋” ก็ออกมาคอนเฟิร์มว่า ได้ยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 159 ล้านหุ้น และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมีบล.บัวหลวง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ส่วนเวลาตกฟากที่แน่นอน..?? คงต้องอดใจรออีกนี๊ดดด…แต่คงไม่นานหรอกมั้ง..??
กรณีนี้ก็เปรียบเสมือนหลานอีกคนของปตท.จะเข้าไปอยู่ในตลาดฯ หลังจากก่อนหน้านี้ลูกในไส้ของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC นั่นคือบริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC ได้สปินออฟเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ไปเมื่อปี 2560
ถ้าย้อนไปดูแบ็กกราวด์ของ “โอ้กะจู๋” ก็น่าสนใจ เป็นธุรกิจที่ริเริ่มในปี 2553 ซึ่งเกิดจากการสานฝันของสองเพื่อนซี้อย่าง “โจ้”-จิรายุทธ ภูวพูนผล และ “อู๋”-ชลากร เอกชัยพัฒนกุล ที่อยากเป็นเกษตรกร ภายหลังเรียนจบคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทั้งคู่จึงเดินหน้าลุยทำฟาร์มผักออร์แกนิกให้กลายเป็นธุรกิจร่วมกัน กระทั่งปี 2556 ได้เปิดร้านอาหารเพื่อสุขภาพที่ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ โดยใช้ชื่อว่า “สวนผักโอ้กะจู๋” ซึ่งผวนคำมาจาก “อู๋กับโจ้” และมี “ต้อง”-วรเดช สุชัยบุญศิริ เข้ามาเสริมทีมในเวลาต่อมา
ปัจจุบันธุรกิจของ “ปลูกผักเพราะรักแม่” แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก 1)ธุรกิจบริการและจำหน่ายอาหาร ภายใต้แบรนด์ “โอ้กะจู๋” จัดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพประเภทต่าง ๆ เช่น สลัด สเต็ก สปาเก็ตตี้ อาหารจานเดียว ขนมหวาน น้ำผักผลไม้ เบเกอรี่ รวมถึงนำผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์โอ้กะจู๋ เช่น ผัก ผลไม้สด แซนวิช แร๊พ เป็นต้น วางจำหน่ายในช่องทางต่าง ๆ
2)ธุรกิจร้านอาหารประเภทจานด่วน (Quick Service Restaurant : QSR) ภายใต้แบรนด์ “Ohkajhu Wrap & Roll” จำหน่ายสลัด แร๊พสลัด แซนวิช เบอร์เกอร์ และเมนูสุขภาพพร้อมหยิบ (Grab & Go) ซึ่งเป็นการต่อยอดเมนูของร้านโอ้กะจู๋ เพื่อให้ตอบโจทย์ชีวิตที่เร่งรีบ
และ 3)ธุรกิจร้านน้ำผักผลไม้เพื่อสุขภาพ ภายใต้แบรนด์ “Oh Juice” ได้แก่ น้ำผักออร์แกนิกและผลไม้ที่จำหน่ายในร้านโอ้กะจู๋ มาพัฒนาสูตรเป็นเมนูสุขภาพและเสริมคุณค่าโภชนาการเหมาะกับคนทุกวัย ซึ่งบริษัทคาดว่าจะเปิดร้าน Ohkajhu Wrap & Roll และร้าน Oh Juice สาขาแรกไตรมาส 2 ปีนี้
หันไปส่องผลการดำเนินงานในช่วง 4 ปีย้อนหลัง ถือว่าทำได้ดี โดยปี 2563 มีรายได้ 836.80 ล้านบาท กำไรสุทธิ 33.09 ล้านบาท ส่วนปี 2564 มีรายได้ 803.02 ล้านบาท พลิกมาขาดทุน 84.55 ล้านบาท (น่าจะได้รับผลกระทบจากโควิด) ถัดมาปี 2565 มีรายได้รวม 1,214.91 ล้านบาท พลิกมามีกำไรสุทธิ 38.32 ล้านบาท และปี 2566 มีรายได้ 1,716.85 ล้านบาท กำไรสุทธิเพิ่มเป็น 140.65 ล้านบาท
ถ้าสังเกตจะเห็นว่า หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย “ปลูกผักเพราะรักแม่” หรือ “โอ้กะจู๋” กลับมาเติบโตโดดเด่นอีกครั้ง
ดังนั้น การผลักดัน “โอ้กะจู๋” เข้าตลาดฯ ในมุมของ OR สิ่งที่ได้อันดับแรก มูลค่าเพิ่มของหุ้นที่ถืออยู่ในมือก็จะเพิ่มขึ้น
ถัดมาเป็นการรับรู้รายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้น หาก “โอ้กะจู๋” เติบโตมากขึ้นในอนาคต
ที่สำคัญ OR ไม่ต้องมีภาระในการใส่เงินเพิ่มทุนให้กับ “โอ้กะจู๋”…เนื่องจาก “โอ้กะจู๋” มีเงินระดมทุนก้อนใหญ่มาเติมหน้าตักไว้แล้ว ขณะเดียวกันก็เป็นทางเลือกในการเข้าถึงแหล่งทุนมากขึ้น ทั้งจากการออกหุ้นกู้ การเพิ่มทุน หรือกู้เงินจากแบงก์
ไม่นับรวมกับการที่ “โอ้กะจู๋” อาจมีการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น หลังเข้าตลาดฯ…OR ก็จะได้ไปอีกขา…
งานนี้คงไม่ต้องบอกนะว่า ใครได้ประโยชน์สูงสุด ถ้าไม่ใช่คนเป็นปู่อย่างปตท.
แต่ถ้าไม่ใช่ก็เอาปากกามาวงได้นะ..!!
…อิ อิ อิ…