3 หุ้นไฟแนนซ์ เทียบฟอร์มลดดอกเบี้ย.!
วันที่ 10 เม.ย. 2567 นี้ จะเป็นวันชี้ชะตาดอกเบี้ยของไทย เพราะเป็นวันที่กนง. นัดหมายในการประชุมครั้งที่สองของปีเพื่อพิจารณาอัตราดอกเบี้ย
วันที่ 10 เม.ย. 2567 นี้ จะเป็นวันชี้ชะตาดอกเบี้ยของไทย เพราะเป็นวันที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) นัดหมายในการประชุมครั้งที่สองของปีเพื่อพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ก็ต้องวัดใจกนง.ว่าจะยืนหยัดคงดอกเบี้ยที่ 2.5% ต่อไป หรือจะปรับลดดอกเบี้ยเลยรอบนี้..??
แต่ถ้าไปซาวเสียงในตลาดเกือบร้อยทั้งร้อยฟันธงว่า กนง.จะลดดอกเบี้ย 0.25% นะออเจ้า..!??
ด้วยเหตุผลที่ว่าอัตราเงินเฟ้อต่ำเตี้ยเรี่ยดินต่อเนื่องมา 5 เดือนแล้ว ประกอบกับสภาพแวดล้อมที่จำเป็น เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า ชาวบ้านชาวช่องเค้าฟื้นตัวกันหมดแล้ว มีแต่เศรษฐกิจไทยที่ยังต้วมเตี้ยมไม่ไปไหน ล่าสุดเวิลด์แบงก์ปรับลดคาดการณ์จีดีพีไทยปี 2567 เหลือโตแค่ 2.8% จากเดิมโต 3.2%
แถมก่อนหน้านี้มีสัญญาณเสียงแตก 5 ต่อ 2 เสียง ในการประชุมกนง.ครั้งที่แล้ว…คนก็เลยมองกันว่าครั้งนี้กนง.จะลดดอกเบี้ยหรือเปล่า..??
แต่มีเสียงโต้แย้งว่าต้องรอให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลดดอกเบี้ยก่อนมั้ย..?? กนง.จึงจะลดตาม…ซึ่งถ้าตามทฤษฎีก็ใช่…อันนี้ไม่เถียง แต่ในความเป็นจริง ต้องมีข้อยกเว้นหรือเปล่า..??
โอเค…แม้การปรับลดดอกเบี้ยจะทำให้ฟันด์โฟลว์ไหลออก แต่งานนี้อาจต้อง “ยอมเสีย…เพื่อได้” อ๊ะป่าว..?? ไม่งั้นเศรษฐกิจโดยรวมมันไปต่อไม่ได้…ดังนั้นถ้าดูปัจจัยภายในของเรา ก็มีความเป็นไปได้ที่กนง.จะลดดอกเบี้ยนะเนี่ย..!?
แน่นอนว่า การลดดอกเบี้ย ในเชิงลบกระทบกลุ่มแบงก์ เพราะจะทำให้ NIM หรือส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิแคบลง แต่ในเชิงบวกกลุ่มไฟแนนซ์จะได้ประโยชน์ไปเต็ม ๆ เนื่องจากต้นทุนทางการเงินลดลง
ถ้าไปดู 3 หุ้นไฟแนนซ์ตัวพ่อตัวแม่ของตลาด คงหนีไม่พ้น บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC ของ “ชูชาติ เพ็ชรอำไพ”, บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ของ “ธิดา แก้วบุตตา” และบริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR ของแบงก์กรุงศรีฯ ซึ่งที่ผ่านมาราคาหุ้นตอบรับเป็นระลอก ๆ…
บนสมมติฐานที่ว่า กนง.ลดดอกเบี้ย 0.25% จริง…3 หุ้นไฟแนนซ์ใครน่าสนใจกว่ากัน ลองไปเปรียบมวยดูสักหน่อย..!!
เริ่มที่ MTC แม้ไม่ได้มีสถาบันการเงินหนุนหลัง ทำให้เสียเปรียบกว่าคู่แข่ง แต่จุดแข็ง MTC คือมีอันดับเครดิตที่ดี จึงทำให้ต้นทุนทางเงินเฉลี่ยไม่สูงจนเกินไป ขณะที่ความสามารถในการทำกำไรช่วงหลังเริ่มถดถอย สะท้อนได้จากอัตรากำไรสุทธิจากเดิมอยู่ระดับ 30% ปี 2566 เหลือ 20%
ส่วนปี 2567 บริษัทตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้นเป็น 170,000 ล้านบาท เติบโตราว 18.8% จากปีก่อน โดยจะมุ่งเน้นการเติบโตพร้อมทั้งรักษาคุณภาพสินเชื่อ และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานเพื่อควบคุมต้นทุนดำเนินงาน
ขณะที่ นักวิเคราะห์คาดการณ์กำไรในปี 2567 จะเติบโตราว 13-16% จากปีก่อน
ปัจจุบันหุ้น MTC เทรดกันที่ P/E 20.09 เท่า โดยมี P/BV อยู่ที่ 3.09 เท่า และมีมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น 15.06 บาท
ฟาก SAWAD ก็มีดีพอตัว แม้ในปีที่ผ่านมาความสามารถในการทำกำไรจะหย่อนยานลงเช่นกัน โดยมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 27.78% แต่จากการเป็นพันธมิตรกับออมสินมาก่อนหน้านี้ น่าจะช่วยให้ต้นทุนในการปล่อยสินเชื่อไม่สูงจนเกินไป
โดยในปี 2567 บริษัทตั้งเป้าหมายสินเชื่อเติบโตเกิน 20% ทั้งจากสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ รวมถึงสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ ผ่าน SCAP ราว 15-20% หลังคู่แข่งระมัดระวังการปลอยสินเชื่อเช่าซื้อฯ โดยสินเชื่อเช่าซื้อที่ปล่อยใหม่จะเข้มงวดมากขึ้น ผ่านการเพิ่มเงินดาวน์อย่างน้อย 20% ทําให้คาดว่าจะควบคุมคุณภาพหนี้และค่าใช้จ่ายสํารองหนี้ได้
ด้านนักวิเคราะห์คาดการณ์กำไรของ SAWAD จะเติบโต 8.7% เป็น 5.43 พันล้านบาท ในปี 2567 และอีก 15.6% เป็น 6.28 พันล้านบาท ในปี 2568
ปัจจุบันหุ้น SAWAD เทรดกันที่ P/E 11.67 เท่า ยังต่ำกว่า P/E กลุ่มซึ่งอยู่ที่ 18.27 เท่า โดยมี P/BV อยู่ที่ 2.07 เท่า และมีมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น 20.52 บาท
ปิดท้ายที่ TIDLOR แม้จะมีแบ็กดี (แบงก์กรุงศรีฯ) แต่เทียบกับคู่แข่งจะเห็นว่าความสามารถในการทำกำไรน้อยกว่า โดยปี 2566 มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 19.98% ขณะที่ปี 2567 บริษัทตั้งเป้าสินเชื่อและเบี้ยประกันภัยโต 10-20% ควบคุม NPL ให้อยู่ที่ 1.4-1.8% จาก 1.45% ในปี 2566 และ credit cost ที่ 3-3.5% จาก 3.48% ในปี 2566 พร้อมตั้งเป้าปีนี้เปิดสาขาใหม่ 100 สาขา
ขณะที่ นักวิเคราะห์คาดแนวโน้มกําไรปี 2567 เติบโตได้ราว 18.26% จากปีก่อน ภายใต้สมมติฐานสินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมเติบโตได้ราว 15% จากปีก่อน บวกกับคาดค่าใช้จ่ายสํารองหนี้ลดลง โดยคาด Credit Cost ที่ 3.35%
ปัจจุบันหุ้น TIDLOR เทรดกันที่ P/E 16.31 เท่า มี P/BV อยู่ที่ 2.17 เท่า และมีมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น 10.12 บาท
เอาเป็นว่าใครรักใคร่ชอบพอหุ้นตัวไหน..?? เลือกที่สบายใจละกัน
…อิ อิ อิ…