ไม่ปรองดองเป็นผู้ร้ายทายท้าวิชามาร
จะมีการตั้งคณะกรรมาธิการปรองดองขึ้นอีกแล้ว คุยว่ามีตัวแทนทุกฝ่าย แต่ลงท้ายก็บอกว่าใครขัดขวางไม่ร่วมมือคือตัวปัญหาของแผ่นดิน
ใบตองแห้ง
จะมีการตั้งคณะกรรมาธิการปรองดองขึ้นอีกแล้ว คุยว่ามีตัวแทนทุกฝ่าย แต่ลงท้ายก็บอกว่าใครขัดขวางไม่ร่วมมือคือตัวปัญหาของแผ่นดิน
นี่ตั้งใจปรองดองจริง หรือแค่จะสร้างกลไกให้สยบยอม พอใครไม่ยอม ก็ถูกชี้หน้า “ไม่ปรองดอง” พอใครไม่เห็นด้วย ก็โดนข้อหา “สร้างความแตกแยกให้ประเทศชาติไม่สิ้นสุด”
สังคมไทยมักคล้อยตามความคิดแบบนี้เสียด้วย นิสัยคนไทยชอบให้หยวนยอม โธ่จะขัดแย้งอะไรนักหนา ทะเลาะกันวุ่นวาย พาเราเดือดร้อนไปด้วย แต่หยวนยอมเฉพาะเรื่องคนอื่นนะ ทีตัวเองละก็ แค่ขับรถปาดหรือแค่ไม่ให้แซง กลับยอมไม่ได้
คำถามสำคัญ การปรองดองคืออะไร คือนิรโทษกรรมหรือ งั้นไม่ต้องตั้งคณะกรรมาธิการ ใช้ ม.44 ก็ได้ ปรองดองไม่ใช่นิรโทษ ปรองดองไม่ใช่ให้อภัย ปรองดองไม่ใช่เลิกแล้วกันไป แต่ปรองดองต้องชำระสะสางอดีต ชี้ถูกชี้ผิดอย่างยุติธรรม ใครทำผิดก็ยอมรับผิด แล้วค่อยให้อภัยกัน จากนั้นจึงตั้งต้น วางอนาคตร่วมกันใหม่
ฟังเหมือนง่ายแต่ไม่ง่าย เพราะไม่มีใครยอมรับผิด มีแต่ชี้หน้าคนอื่นผิด ทั้งที่ผิดด้วยกันทั้งนั้น แล้วความขัดแย้งก็บานปลายจนลากกระบวนการยุติธรรมลงน้ำ เลือกข้างเลือกฝ่ายจนไม่เหลือใครชี้ถูกชี้ผิด
10 กว่าปีที่ผ่านมา ไม่มีอำนาจขั้วใดถูกทุกข้อหรือผิดทุกอย่าง มีถูกมีผิดด้วยกันทั้งนั้น การปรองดองจึงไม่สามารถเริ่มได้ด้วยการที่ใครมีอำนาจแล้วประกาศว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกแล้วบอกคนอื่น “มาปรองดองกันเถอะ” สลายขั้ว เลิกขัดแย้ง เรายินดีให้อภัย เพื่อที่เราจะมีอำนาจต่อไป
ทักษิณทำไม่ได้ กองทัพและเครือข่ายอนุรักษนิยมก็ทำไม่ได้
ทักษิณเป็นผู้นำรัฐบาลจากเลือกตั้งที่ได้รับความนิยมสูงจนเหลิงอำนาจ มีผลประโยชน์ทับซ้อน กองทัพกับเครือข่ายอนุรักษนิยมโค่นล้มทักษิณด้วยรัฐประหาร แล้วร่างรัฐธรรมนูญ 2550 วางอำนาจศาล องค์กรอิสระ ไว้หักล้างคะแนนนิยมของประชาชน จนความขัดแย้งบานปลาย เกิดม็อบลุกฮือสลับฝ่ายอยู่ 7 ปี โดยกองทัพยังมีบทบาทสลายม็อบเสื้อแดงปี 53 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 99 ศพ
มาวันนี้ รัฐบาล คสช. สนช. สปท. กรธ. ที่มาจากเครือข่ายเดิม ซ้ำคนมีบทบาทสำคัญๆ ก็หน้าเดิม จะมาเรียกร้องให้ทุกฝ่าย “ปรองดอง” ภายใต้อำนาจเบ็ดเสร็จ ควบคุมสังคมจนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ มันใช่ “ปรองดอง” จริงหรือ
จะปรองดองแล้วยอมรับผิดหรือยัง หรือยังยืนกรานเป็นฝ่ายถูกฝ่ายดี เอาแต่ชี้หน้าคนอื่นผิด เผลอๆ ชี้หน้าประชาชนผิดทุกฝ่ายทุกสี ก่อม็อบปั่นป่วนวุ่นวาย มีแต่รัฐราชการและผู้หลักผู้ใหญ่ไม่เคยทำอะไรผิด
ปรองดองไม่ใช่มองแค่อดีต แต่ต้องดูปัจจุบันถึงอนาคต ปัจจุบันจะปรองดองอย่างไร ในเมื่อประชาชนไม่มีส่วนร่วม ไม่มีเสรีภาพ “ปรองดอง” ไม่ได้แปลว่าให้สยบยอมต่ออำนาจ
ข้อสำคัญ ปรองดองยังต้องมีผลต่อรัฐธรรมนูญ ต้องนำไปสู่ความตกลงวางอนาคตร่วมกัน วางระบอบประชาธิปไตยที่เปิดกว้าง ยอมรับความแตกต่าง ให้คนคิดต่างแข่งขัน เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะให้คนไทยคิดเหมือนกัน แต่ทำอย่างไรให้แข่งขันอย่างสันติใต้กติกา
นี่กลายเป็นว่า กรธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญตามอำเภอใจ สืบทอดกลไกอำนาจอนุรักษนิยมให้อยู่เหนืออำนาจประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แล้วพอโดนคัดค้านมากๆ กลัวไม่ผ่านประชามติ ก็บอกว่ามาปรองดองกันเถอะ แล้วถ้าใครไม่ยอมปรองดอง ก็กลายเป็น “ผู้ร้าย” กลายเป็นพวกคอยดึงขาถามว่านี่ปรองดองจริงหรือ หรือแค่หาเครื่องมือบีบให้ยอม