ม้าแก่ชำนาญทางแฉทุกวัน ทันเกมหุ้น
วิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล นอกจากเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุด และเป็น ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ KAMART ยังมีความรู้เรื่อง “อารมณ์” ของนักลงทุนและตลาด แบบเจนจบกระบวนยุทธ์มายาวนาน เพราะฉะนั้น จึงมีพฤติกรรมการให้ข้อมูลข่าวสารกับสื่อและตลาดในลักษณะ “ม้าแก่ชำนาญทาง”
วิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล นอกจากเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุด และเป็น ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ KAMART ยังมีความรู้เรื่อง “อารมณ์” ของนักลงทุนและตลาด แบบเจนจบกระบวนยุทธ์มายาวนาน เพราะฉะนั้น จึงมีพฤติกรรมการให้ข้อมูลข่าวสารกับสื่อและตลาดในลักษณะ “ม้าแก่ชำนาญทาง”
อย่าหวังง่ายๆ ว่าถ้าให้ข่าวสารข้อมูลออกไปแล้ว คนชื่อ วิวัฒน์ จะเดินเข้าตรอกซอยตัน เพราะรู้ลู่ทางล่วงหน้ามาแล้วอย่างดี
ประสบการณ์โชกโชนของวิวัฒน์ ในกรณีของ บริษัทไดสตาร์ อีเล็คทริก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DISTAR ในตลาดหุ้นไทย 2 ทศวรรษก่อน ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนานมาก เป็นหุ้นร้อนในบางช่วงเคียงข้างหุ้นร้อนอื่นๆ ชนิดดูพี/อีแล้วเสียวไส้ แต่บางทีเย็นซะจนไม่มีใครเหลียวแลก็เพราะผลประกอบการไม่เป็นใจ
จากธุรกิจขายเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งสดและผ่อนในฐานะเข้าตลาดล่างยาวนานหลายทศวรรษ จนกระทั่งพบว่าถึงทางตันเพราะไม่ทำกำไรอีกต่อไป วิวัฒน์ พยายามหันเหธุรกิจของบริษัท DISTARมาจำหน่ายรถยนต์ รถโดยสารขนาดเล็ก, ขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ โดยอาศัยความร่วมมือทางด้านเทคนิคจากโรงงาน Higer Bus จากจีน แล้วก็ไม่เวิร์กอีก
ในปี 2552 ช่วงที่เกิดวิกฤตซับไพรม์ถล่มตลาดหุ้นไทยหนักหน่วง วิวัฒน์พบทางเลือกใหม่ หันเหเข้าสู่ธุรกิจใหม่คือ นำเข้าเครื่องสำอางจากเกาหลีใต้ มาจัดจำหน่ายใหม่ ในประเทศ ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัทเอง ในชื่อรวมๆ ของร้านค้าปลีก คาร์มาร์ท โดยมีแบรนด์สร้างขึ้นมาใหม่ให้ดูเป็นเกาหลี เช่น Cathy Doll, Cathy Choo, Baby Bright และ Jejuvita แถมยังเป็นตัวแทนจำหน่ายแบรนด์ชั้นนำจากประเทศเกาหลี อาทิ MlSSHA และ BRTC เป็นต้น เป็นการโหนกระแส คลั่งเกาหลี ที่ได้ผลอย่างยิ่ง
ในปี 2553 เครื่องสำอางเกาหลีขายได้ดี ยอดขายของ DISTAR เพิ่มขึ้น เกินจากปีก่อนหน้า กว่า 100% ภายเวลาไม่ถึงครึ่งปี ทำให้วิวัฒน์ตัดสินใจในต้นปี 2554 เปลี่ยนชื่อบริษัทจากเดิมมาเป็น KAMART ดังที่รู้จักกันในปัจจุบัน มีเครือข่ายร้านค้าปลีกมากกว่า 20 สาขา ตัวแทนจำหน่ายในแฟรนไชส์ 500 แห่ง และร้านค้าปลีกอื่นๆ 1 พันกว่าแห่ง ทิ้งอดีตไว้เบื้องหลัง
ความสำเร็จในการเปลี่ยนธุรกิจจากที่เคยย่ำแย่มาสู่ธุรกิจใหม่ ทำให้วิวัฒน์ในยามนั้น กล้าประกาศว่า KAMART จะเป็นบริษัทจดทะเบียนรายหนึ่งที่จ่ายปันผลทุกไตรมาส สร้างความฮือฮาให้กับราคาหุ้นของบริษัทนี้มาต่อเนื่องกันเลยทีเดียว
ผลประกอบการและกลยุทธ์จ่ายปันผลทุกไตรมาส ทำให้ราคาหุ้นของ KAMART ไม่เคยกลับไปต่ำเตี้ยเหมือนที่ระดับต่ำกว่า 0.50 บาท ก่อนปี 2554 อีกเลย แต่จะขึ้นลงตามกระแสตลาดมาโดยตลอด โดยราคาวิ่งอยู่ระหว่าง 5.00-7.50 บาท
แน่นอนทุกครั้งก่อนที่ราคาจะวิ่ง จะมีชื่อของวิวัฒน์ออกมาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับผลประกอบการของ KAMART …ไม่ใช่ชี้นำ แต่ก็เป็นการส่งซิกที่ชัดเจน ขาประจำรู้ดีกว่าใคร
ครั้งล่าสุดนี้ก็เช่นกัน วิวัฒน์ก็ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อบางฉบับว่า มั่นใจรายได้ปี 2558 เติบโต 30% ต่อปี ส่วนความสามารถในการทำกำไรสูงสุดในรอบหลายปีที่ระดับ 200 ล้านบาท แต่…ขออุบตัวเลขจ่ายปันผล
พูดอย่างนี้ก็เป็นเรื่องทันที เพราะ เจ้าหน้าที่ตลาดหุ้นถือว่า “ล้ำเส้น” เต็มตัว เนื่องจาก “…ข้อมูลดังกล่าวอาจส่ง ผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุน” เพราะยังไม่ได้มีการประกาศงบการเงินอะไรออกมาเลย ถือว่าชี้นำราคาล่วงหน้า
ตลาดฯตัดสินใจขึ้นเครื่องหมาย H หยุดพักการซื้อขายเพื่อรอคำชี้แจงจากบริษัท
สำหรับขาประจำแล้ว…มาตรการขึ้น H ของตลาดอย่างนี้ เข้าข่าย “มนต์เรียกแขก” ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม อันเป็นที่เข้าใจกันดี เพราะมันหมายถึงว่า หากปลดเครื่องหมาย H เมื่อใด ราคาหุ้นวิ่งแรงแน่นอน
อย่าคิดว่างานนี้ วิวัฒน์จะไร้เดียงสา จนไม่รู้กติกาอะไรเลย
ตลาดหุ้นใช้เวลาไม่นานในการขึ้นเครื่องหมาย H แค่ชั่วโมงเศษของวันที่ 11 มกราคมเท่านั้น เพราะ วิวัฒน์และคนของ KAMART จัดการส่งคำชี้แจงให้ตลาดรับทราบ ดังที่คำสั่งต่อมาของตลาดว่า “….บัดนี้บริษัทได้เปิดเผยสารสนเทศสำคัญดังกล่าว ผ่านระบบเผยแพร่ข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯโดยทั่วถึงแล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯจึงปลดเครื่องหมาย “H” หลักทรัพย์ KAMART…”
คงไม่ต้องถามว่าหลังจากการปลด H ราคาหุ้นของ KAMART พุ่งขึ้นไปกี่ขั้น กี่จุด หรือกี่สตางค์…เอาเป็นว่า วันที่ 11 มกราคมและ 12 มกราคมที่ผ่านมา ราคาหุ้นของบริษัทวิ่งจากระดับ 7.00 บาท มาที่ 7.50 บาท…เรียบร้อย โรงเรียนวิวัฒน์ ณ KAMART
งานนี้ เป็นที่ประจักษ์อีกครั้งว่า…ม้าแก่ชำนาญทาง หมายความว่าอย่างไร…อิ อิ อิ
ส่วนกำไรของ KAMART จะเป็นไปตามที่วิวัฒน์ให้สัมภาษณ์หรือไม่ เมื่อถึงเดือนกุมภาพันธ์ ก็คงรู้กัน…รู้แค่ตอนนี้ไว้ก่อนว่า ราคาหุ้นของ KAMART ทะยานติดลบบนสวนภาวะตลาดไปแล้ว…ก็พอ…5555
วิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล ซะอย่าง…