TLI ธุรกิจขยายตัวตามอุตสาหกรรม
โครงสร้างรายได้ตามประเภทธุรกิจ ณ สิ้นไตรมาส 4/2566 1.เบี้ยประกัน-Agent 59.54% 2.เบี้ยประกัน-Non-agent 22.95%
คุณค่าบริษัท
บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI โครงสร้างรายได้ตามประเภทธุรกิจ ณ สิ้นไตรมาส 4/2566 1.เบี้ยประกัน-Agent 59.54% 2.เบี้ยประกัน-Non-agent 22.95% 3.รายได้จากการลงทุนและอื่น ๆ 17.51% สัดส่วนพอร์ตลงทุน ณ สิ้นไตรมาส 4/2566 1.ตราสารหนี้ 81.75% 1.1 พันธบัตรรัฐบาล 39.76% 1.2 หุ้นกู้เอกชน 32.38% 1.3 พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ 9.54% 2.ตราสารทุนและหน่วยลงทุน 11.45% 2.1 ตราสารทุนและหน่วยลงทุนหุ้นในประเทศ 5.09% 2.2 หน่วยลงทุนหุ้นต่างประเทศ 6.36% 3.เงินให้กู้ยืมและดอกเบี้ยค้างรับ 5.42% 4.เงินสด 1.38%
TLI รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2566 มีกำไรสุทธิ 1,978.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58.83% จากไตรมาส 4/2565 แต่ลดลง 5.28% จากไตรมาส 3/2566 ที่มีกำไรสุทธิ 2,088.20 ล้านบาท กำไรไตรมาส 4 ลดลงจากไตรมาส 3 เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการขายกรมธรรม์ประกันชีวิตมากกว่าปกติ จากความต้องการซื้อประกันชีวิตเพื่อลดหย่อนภาษี ทำให้มีค่าใช้จ่ายการดำเนินงานเร่งตัวขึ้นกว่าไตรมาสอื่น โดยปัจจัยบวกหลักมาจากการตั้งสำรองสำหรับกรมธรรม์ระยะยาวที่ลดลง 40.9% จากไตรมาส 4/2565 มากกว่าคาด เป็นผลจากการปรับรูปแบบการขายไปยังกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยน้อยลง ทำให้ Combined Ratio ของ TLI ลดลงเหลือ 105.8% จาก 107.6% ในไตรมาส 4/2567
รวมทั้งมีแรงหนุนจากเบี้ยประกันภัยรับสุทธิที่เพิ่มขึ้น 2.2% จากไตรมาส 4/2565 และรายได้จากเงินลงทุนที่ขยายตัว 11.5% จากไตรมาส 4/2565 สอดคล้องกับขนาดของเบี้ยประกันภายใต้การบริหารของ TLI ที่ขยายตัวมากขึ้น ผลบวกดังกล่าวบางส่วนถูกหักล้างด้วยค่าใช้จ่ายผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ที่เพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาส 4/2565 ค่าบำเหน็จจ่ายสูงขึ้น 4.3% จากไตรมาส 4/2565 และค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่สูงขึ้น 2.1% จากไตรมาส 4/2565 จากการสนับสนุนให้พนักงานขายหันมาขายผลิตภัณฑ์ที่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยน้อย
เบี้ยประกันภัยที่ถือเป็นรายได้สุทธิ เพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาส 3/2566 (เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาส 4/2565) และขยายตัว 2% ในปี 2566 เบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ปรับตัวลดลง 31% จากไตรมาส 3/2566 (ลดลง 24% จากไตรมาส 4/2565) โดยมีสาเหตุมาจากเบี้ยประกันภัยรับจ่ายครั้งเดียวที่ลดลงในไตรมาส 4/2566 และเติบโต 22% (เบี้ยประกันภัยรับปีแรกลดลง 8% แต่เบี้ยประกันภัยรับจ่ายครั้งเดียว เติบโต 71%) ในปี 2566 เบี้ยประกันรับรายใหม่ที่ลดลงจากไตรมาส 3/2566 ถูกชดเชยโดยเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไปที่เพิ่มขึ้น 32% จากไตรมาส 3/2566 (ลดลง 3% จากไตรมาส 4/2565) เบี้ยประกันภัยรับปีต่อไปลดลง 3% ในปี 2566 ด้านมาร์จิ้นจากการรับประกันภัย เพิ่มขึ้น 4.14% จากไตรมาส 4/2565 และเพิ่มขึ้น 4.19% จากไตรมาส 3/2566
และเพิ่มขึ้น 2.40% ในปี 2566 โดยเกิดจากอัตราส่วนเงินสำรองประกันชีวิตและผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ที่ปรับตัวลดลงอย่างมาก (ลดลง 4.58% จากไตรมาส 4/2565, ลดลง 6.05% จากไตรมาส 3/2566 และลดลง 2.18% ในปี 2566) ส่วนอัตราส่วนผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) เพิ่มขึ้น 0.39% จากไตรมาส 4/2565 แต่ลดลง 0.13% จากไตรมาส 3/2566 (เกิดจากขาดทุนจากเงินลงทุนและอัตราผลตอบแทนจากดอกเบี้ยและเงินปันผลที่ลดลง) และลดลง 0.17% ในปี 2566
ข้อมูลจาก Refinitiv Consensus สำหรับ TLI ระบุว่า ประมาณการรายได้รวมปี 2567 ที่ 114,989.78 ล้านบาท และประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 ที่ 10,010.28 ล้านบาท โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 14.60 บาท จาก 5 โบรกเกอร์
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองว่า TLI จะเริ่มมีผลกระทบเชิงลบจากแนวโน้ม Bond Yield ที่ปรับตัวลง ส่งผลให้มีความเสี่ยงที่จะต้องตั้งสำรองสำหรับกรมธรรม์ระยะยาวเพิ่มขึ้น ทำให้คาดทั้งปี 2567 TLI จะมีกำไรสุทธิ 9,954 ล้านบาท โตเล็กน้อย 2.5% จากปี 2566 บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ปรับประมาณการกำไรปี 2567 ลดลง 15% เพื่อสะท้อนผลประกอบการไตรมาส 4/2566 และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง ปัจจุบันคาดว่ากำไรปี 2567 จะเพิ่มขึ้น 3% มาที่ 9,978 ล้านบาท
สำหรับการประเมินมูลค่า (Valuation) หุ้น TLI ราคาปัจจุบัน (ราคาปิดวันที่ 9 เม.ย. 2567 ที่ 9.05 บาท) ซื้อขายกันที่ P/E 10.68 เท่า ต่ำกว่า P/E กลุ่มประกันภัยและประกันชีวิตที่ 12.31 เท่า ส่วนค่า P/BV ของหุ้น TLI อยู่ที่ 0.99 เท่า ต่ำกว่า P/BV กลุ่มประกันภัยและประกันชีวิตที่ 1.04 เท่า