พาราสาวะถีอรชุน

บอกไว้ตั้งแต่วันแรกที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศจะปฏิรูปตัวเองเลิกหงุดหงิด หัวเสีย ทำไม่ได้แน่นอน เพราะมันไม่ใช่การปวารณาตัวครั้งแรก หากแต่พูดมาหลายครั้งหลายหนแล้วทำไม่ได้ ซึ่งเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ต่างรู้ดี มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่นเข้าโรงเรียนเตรียมทหารจนเติบโตมาเป็นผู้บัญชาการทหารบก ถนัดแต่สั่งและห้ามเถียง พอเปลี่ยนบริบทมาเป็นผู้นำประเทศก็คิดว่าจะต้องทำแบบเดิมๆ


บอกไว้ตั้งแต่วันแรกที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศจะปฏิรูปตัวเองเลิกหงุดหงิด หัวเสีย ทำไม่ได้แน่นอน เพราะมันไม่ใช่การปวารณาตัวครั้งแรก หากแต่พูดมาหลายครั้งหลายหนแล้วทำไม่ได้ ซึ่งเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ต่างรู้ดี มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่นเข้าโรงเรียนเตรียมทหารจนเติบโตมาเป็นผู้บัญชาการทหารบก ถนัดแต่สั่งและห้ามเถียง พอเปลี่ยนบริบทมาเป็นผู้นำประเทศก็คิดว่าจะต้องทำแบบเดิมๆ

ทุกครั้งที่เป็นปัญหาในเรื่องวุฒิภาวะด้านอารมณ์ล้วนแล้วแต่เกิดจากการควบคุมตัวเองไม่ได้ จากการถูกนักข่าวไล่บี้ถาม ยิ่งหนล่าสุดเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำ ถูกไล่ต้อนจากนักข่าวสาวสำนักหนึ่งซึ่งแกะติดเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ตอบไม่ได้ไปไม่เป็นท่านผู้นำถึงกับขึ้น”กู”กันเลยทีเดียว นี่เป็นบทพิสูจน์ว่า การจะปฏิรูปนิสัยของตัวเองไม่ใช่เรื่องยากและจะทำสำเร็จได้แค่เปลี่ยนพ.ศ.มันมหัศจรรย์เกินไป

นี่แค่การปฏิรูปตัวเองของผู้มีอำนาจยังยากเย็นขนาดนี้ แล้วที่จะปฏิรูปประเทศคิดดูว่ามันจะยากขนาดไหน เอาล่ะนั่นไม่ใช่สาระสำคัญของประเด็นร้อนที่เกิดขึ้น ว่ากันด้วยมาตรการช่วยเหลือชาวสวนยางพาราที่รัฐบาลคลอดมาตรการจะรับซื้อยางจากชาวสวนโดยตรงในราคานำตลาดปริมาณ 1 แสนตัน ท่ามกลางการขานรับของเกษตรกร

จึงมีข้อสังเกตอยู่ 2 ประการ หนึ่งที่เกี่ยวข้องการมาตรการโดยตรง อีกหนึ่งเป็นการเทียบเคียงกับกรณีโครงการรับจำนำข้าว เอากรณีการรับซื้อยางจากเกษตรกรในราคานำตลาดกันก่อน หากเงินทุกบาททุกสตางค์ที่จะดำเนินการถูกส่งถึงมือชาวสวนยางก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ที่หลายฝ่ายเกรงกันว่าจะเป็นปมการทุจริตก็คือ มีเจ้าหน้าที่ไปร่วมมือกับพ่อค้าที่ซื้อยางราคาถูกมาสต็อกไว้แล้วนำมาสวมรอยขายตามราคาที่รัฐจะรับซื้อ

หากเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับชาวสวนยางกำลังถูกปล้นทั้งๆที่บ้านถูกไฟไหม้ พฤติกรรมในลักษณะนี้นี่แหละที่บิ๊กตู่จะต้องสั่งการไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องให้เข้มงวดเป็นพิเศษ หรือหากจำเป็นอาจจะต้องงัดเอามาตรา 44 มาบังคับใช้โดยหากพบพ่อค้าและเจ้าหน้าที่รัฐสุมหัวกันนำยางพาราในสต็อกมาขายให้องค์การคลังสินค้าหรือ อคส. ต้องมีมาตรการลงโทษอย่างเด็ดขาด

ส่วนหากนำไปเทียบเคียงกับกรณีจำนำข้าว มาตรการนี้ของรัฐบาลคสช.ก็คือการซื้อของแพงกว่าราคาตลาด เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้เดือดร้อน ถ้าเช่นนั้นก็ต้องย้อนถามกลับไปว่าแล้วสิ่งที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และชาวคณะดำเนินการจะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายได้อย่างไร มิหนำซ้ำ หากยึดตรรกะง่ายๆโครงการรับจำนำก็คือเกษตรกรสามารถมาไถ่ถอนข้าวคืนได้หากราคาตลาดสูงว่าที่จำนำไว้

แต่กรณีนี้เป็นการซื้อขาด ไม่รู้ว่ารัฐจะได้เงินคืนกลับมาในรูปแบบใด หรือถ้าได้คืนมาจะยืนยันได้อย่างไรว่าไม่ขาดทุน ตรงนี้แหละที่หากอยากจะเห็นการแถของคนบางพรรคการเมืองก็จะเห็นภาพที่ชัดเจน เช่นเดียวกันกับฝ่ายรัฐบาลที่จะยกเหตุผลใดมาอธิบายให้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าไม่ได้เหมือนโครงการจำนำข้าวคงจะเป็นเรื่องยาก

ประเด็นปัญหาการตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ อย่างที่ได้บอกไปตั้งแต่ต้น ความจริงชาวพุทธหรือองค์กรพุทธทุกภาคส่วนไม่ได้มีใครติดใจหรือมองเห็นว่าเป็นปัญหาแต่อย่างใด มีเพียงก็แต่การร้องแร่แห่กระเชอของพุทธะอิสระ อดีตแกนนำม็อบกปปส.ที่แจ้งวัฒนะก็เท่านั้น การยกเอารายชื่อ 3 แสนรายมาคัดค้านไม่ให้มีการแต่งตั้งสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง วรปุญโญ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ นั้น จึงถือว่าน้อยนิดเป็นอย่างยิ่งหากเทียบกับชาวพุทธทั้งประเทศ

สิ่งสำคัญมากไปกว่านั้นการที่บิ๊กตู่จะปฏิเสธมติของมหาเถรสมาคมในการนำรายชื่อสมเด็จช่วงขึ้นทูลเกล้าฯนั้น มองไม่เห็นว่าจะใช้เหตุผลใด เพราะหากยึดตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์แล้ว มันไม่มีหนทางอื่น เว้นเสียแต่จะใช้มาตรา 44 ซึ่งหัวหน้าคสช.คงต้องคิดให้ดีว่า จะกล้าแหวกจารีตประเพณีและความรู้สึกของชาวพุทธส่วนใหญ่เพียงเพราะพระอาจารย์ผู้นำทางจิตวิญญาณอย่างพุทธะอิสระเช่นนั้นหรือ

ถูกต้องแล้วที่เนติบริกรอย่าง วิษณุ เครืองาม จะยืนยันอะไรที่เป็นหน้าที่รัฐบาลรัฐบาลต้องทำหน้าที่นั้น ซึ่งเกิดจากกฎหมาย ประเพณีและความคาดหมายของประชาชน ประกอบขึ้นเป็นหน้าที่และต้องแจ้งคณะสงฆ์ทราบว่ารัฐบาลจะทำอะไรอย่างไร ขณะเดียวกันไม่ได้มองว่าเรื่องนี้เป็นเผือกร้อนของรัฐบาล แต่ถือเป็นปรากฏการณ์ธรรมดา

ก่อนจะขยายความต่อว่า เรื่องนี้พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ตามที่นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯถวาย โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม ซึ่งจะต้องเสนอเห็นชอบสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นสมเด็จช่วง วัดปากน้ำ แล้วจะมาพูดเป็นอย่างอื่นให้มันยุ่งทำไม

เสียงท้วงติงของวิษณุที่อยากให้ผู้มีอำนาจได้ยินและช่วยไปสะกิดพุทธะอิสระก็คือ วันนี้เราบอกสมเด็จวัดปากน้ำท่านอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ ถ้าไม่ตั้งสมเด็จวัดปากน้ำแล้วจะตั้งใคร ไม่ชอบสมเด็จวัดปากน้ำไม่ว่า แต่ถ้าไม่ตั้งแล้วไปตั้งใคร หมายถึงจะตั้งโดยให้ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งกำหนดว่าเป็นสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้

ถูกต้องอีกประการที่บอกว่าถ้าตั้งได้ก็จบ ชอบไม่ชอบ นับถือไม่นับถือก็อยู่ในใจ และที่ต้องขีดเส้นใต้หลายๆเส้นก็คือ ครั้งนี้ไม่ได้มีการแย่งชิง ที่มีปัญหาคือลูกศิษย์ที่อยากให้อาจารย์ตัวเองได้เป็น จึงควรปล่อยให้เป็นไปโดยธรรมชาติ อย่าให้มันผิดธรรมชาติ ไม่ต้องสาธยายต่อว่าอะไรเป็นอะไร แต่ก็พอจะเข้าใจคน(หัวโล้น)เพราะเคยบังคับขู่เข็ญอะไรแล้วได้อย่างนั้น

ขนาดถึงขั้นไปกรรโชกเงินของโรงแรมตอนคุมม็อบยังทำมาแล้ว นี่เห็นลูกศิษย์เป็นใหญ่เป็นโตเลยกร่างกันใหญ่ คิดว่าไม่มีใครกล้าทำอะไร เหมือนอย่างที่มีการตั้งคำถามบิ๊กตู่ที่ผ่านมาขู่ประชาชนฟ่อดๆ  ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย แต่เมื่อพุทธะอิสระเคลื่อนไหวคัดค้านการตั้งสมเด็จพระสังฆราช กลับบอกเพียงให้ไปแก้ปัญหากันเอง ลองคิดให้ดีผู้มีอำนาจในอดีตหลายรายพังพาบเพราะใจที่ไม่เป็นธรรมเลือกพรรคเลือกพรรคไม่เห็นหัวส่วนรวมนี่แหละ คิดว่าท่านผู้นำฝีปากกล้าไม่น่าจะเป็นคนเช่นนั้น

Back to top button