พาราสาวะถี
เป็นไปตามโผสำหรับการปรับครม.ของ เศรษฐา ทวีสิน ที่เจ้าตัวขอนั่งเป็นนายกรัฐมนตรีเพียงตำแหน่งเดียว โดยโยนเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไปให้ พิชัย ชุณหวชิร
เป็นไปตามโผสำหรับการปรับครม.ของ เศรษฐา ทวีสิน ที่เจ้าตัวขอนั่งเป็นนายกรัฐมนตรีเพียงตำแหน่งเดียว โดยโยนเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไปให้ พิชัย ชุณหวชิร มานั่งแทนควบรองนายกฯ ซึ่งย่อมจะทำหน้าที่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลไปด้วย เป้าหมายหลักเฉพาะหน้าอยู่ที่การผลักดันให้ดิจิทัลวอลเล็ตเห็นผลเป็นรูปธรรมตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยการดัน เผ่าภูมิ โรจนสกุล จากเลขานุการขึ้นชั้นเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
เท่ากับว่ากระทรวงที่คุมนโยบายการเงินของประเทศนั้น จะอัดแน่นไปด้วยรัฐมนตรีช่วยถึง 3 คน จากเพื่อไทยสอง และอีกหนึ่งคือ กฤษฎา จีนะวิจารณะ ที่ยังเหนียวแน่นในโควตาของรวมไทยสร้างชาติ ชัดเจนว่าการให้เผ่าภูมิมีเก้าอี้เสนาบดีในกระทรวงที่ตัวเองร่วมทำงานมาตั้งแต่ต้น ฐานะเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีส่วนผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ย่อมมองเห็นเป้าหมายที่พรรคแกนนำรัฐบาลต้องการ ประกอบกับการชูคนรุ่นใหม่ของพรรคภายใต้การกุมบังเหียนของ แพทองธาร ชินวัตร
เช่นเดียวกับเก้าอี้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ยัดกันเข้าไป 3 ราย แทนที่ พวงเพ็ชร ชุณละเอียด ที่ถูกเด้ง สองรายแรกเป็นโควตาของนายกฯ หนึ่งคือ จักรพงษ์ แสงมณี ที่โยกจากรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศมา เพื่อดูแลงานด้านต่างประเทศ เป็นมือไม้แทนเศรษฐาประสานงานกับ ปานปรีย์ พหิทธานุกร ที่เหลือเพียงเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยที่ พิชิต ชื่นบาน ที่หลีกทางจากปัญหาคุณสมบัติตอนตั้งรัฐบาลรอบแรก หนนี้ได้เข้ามาเพื่อรับผิดชอบงานด้านกฎหมายของรัฐบาลอย่างเต็มที่
โดยที่ “สส.น้ำ” จิราพร สินธุไพร ในวัย 37 ปีที่มานั่งประจำสำนักนายกฯ นั้น จะดูแลงานของกรมประชาสัมพันธ์ คู่ขนานไปกับเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยมีบทบาทอย่างสำคัญ เรียกได้ว่าจะเป็นการเข้ามาเพื่อการประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้มากขึ้น แสดงบทบาทของคนรุ่นใหม่ที่ได้รับการยอมรับทั้งจากผู้สนับสนุนพรรค และคนรุ่นใหม่ที่ยังไม่ได้ให้ใจกับเพื่อไทยเต็มที่ ซึ่งตำแหน่งนี้จะสอดประสานกับเก้าอี้โฆษกรัฐบาลที่ชื่อของ จักรพล ตั้งสุทธิธรรม รองเลขาธิการนายกฯ ฝ่ายการเมืองมาแรงสุด ๆ
คงไม่ต้องสงสัยในฐานะสายตรงของ “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวของ ทักษิณ ชินวัตร อาของอุ๊งอิ๊ง การเข้ามาเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลย่อมเป็นการรับงานโดยตรงจากหัวหน้าพรรค ที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างฐานคนรุ่นใหม่ เมื่อแตะมือกับจิราพรรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ป้ายแดงด้วยแล้ว ย่อมทำให้เห็นภาพของความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับพรรคแกนนำรัฐบาลได้เด่นชัดขึ้น ต้องไม่ลืมว่าอีกหัวโขนของรัฐมนตรีน้ำคือรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
ขณะที่บรรดารัฐมนตรีใหม่แกะกล่องจากพรรคอื่น ก็มีเพียง อรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา ของพรรคพลังประชารัฐ ที่มาในโควตาซึ่งยังว่างอีก 1 เก้าอี้ของพรรคสืบทอดอำนาจ และก็เป็นไปตามความต้องการของ ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่จะขอคนของพรรคคุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทั้งหมด โดยอรรถกรได้นั่งรัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ หลังจาก ไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชรมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ โดยที่ อนันต์ ผลอำนวย สส.จังหวัดเดียวกัน จากเดิมที่ถูกวางตัวว่าจะมาแทนเบียดแทรกไม่ได้
ทั้งที่ตามข้อตกลงนั้นโควตารัฐมนตรี 1 เก้าอี้นี้ต้องเป็นของ สส.กำแพงเพชร เนื่องจากสามารถกวาดตำแหน่ง สส.ได้แบบยกจังหวัดมาจากการเลือกตั้งถึงสองหนติด แต่ธรรมนัสจำเป็นต้องเจรจาเพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับหัวหน้าพรรค เพราะพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ก็ชงชื่อของ ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคมาเป็นแคนดิเดตเหมือนกัน หากจะดันทุรังย่อมเกิดรอยร้าวและนำไปสู่จุดแตกหัก จึงพบกันครึ่งทางที่ชื่อของอรรถกร เพราะอย่างไรเสียก็ได้ชื่อว่าเป็นคนในความดูแลของแม่บ้านพรรคอยู่ดี
การปรับเปลี่ยน ครม.เที่ยวนี้ อีกภาพที่เห็นชัดคือการกระชับอำนาจภายในพรรคผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เนื่องจาก อนุชา นาคาศัย ต้องถูกปรับพ้นเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ แล้วพรรคดัน สุชาติ ชมกลิ่น ไปนั่งเป็นรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์แทน นั่นเท่ากับว่า บารมีของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจภายในพรรคแห่งนี้ยังมีอยู่ ด้วยการผลักดันให้คนสายตรงที่ภักดีกับตัวเองมาตลอดได้มีที่ยืนทางการเมือง ซึ่งก็เห็นได้ว่าเพื่อไทยก็ไม่กล้าที่จะหัก จากเดิมที่มีข่าวว่าจะขอเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยคลังคืนอีกตำแหน่งด้วย
เจ็บปวดที่สุดคงไม่มีใครเกิน นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ที่รับบทหนังหน้าไฟในช่วงการฟอร์มรัฐบาล ถูกตราหน้าสารพัด สุดท้ายได้ปูนบำเหน็จให้เป็นเสนาบดีแค่ 7 เดือน ก็มีอันต้องกลับไปทำงานในสภาเหมือนเดิม เป็นธรรมดาของคนที่ไม่มีแบ็คใหญ่หนุนหลัง ที่ผ่านมาทำงานตามการบัญชาการของผู้สั่งการอย่างเต็มที่ เหตุผลที่ถูกปลดไม่ใช่ทำงานไม่เข้าตานายใหญ่และนายกฯ หรือความไม่พอใจที่คุมข้าราชการไม่ได้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการดึงเอาหลังบ้านให้เข้ามามีบทบาทร่วมในงานบริหารมากเกินไป
อาจมองว่าประสาคนรักเมีย และไม่ได้มีอะไรเสียหาย แต่ในทางปฏิบัติไม่ได้สร้างความรู้สึกดีกับคนที่ต้องการแซะเก้าอี้อยู่แล้ว เหมือนที่เจ้าตัวยอมรับ “คนเราก็มีทั้งคนรัก คนเกลียด เป็นเรื่องธรรมดา” จำเป็นต้องยอมรับชะตากรรมไป ส่วนคนมาแทนอย่าง สมศักดิ์ เทพสุทิน ถือเป็นทั้งการปูนบำเหน็จในฐานะที่ทำงานประสานทางการเมือง จนบรรลุเป้าหมายของนายใหญ่และพรรคเพื่อไทยร่วมกับ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ได้ควบเก้าอี้รองนายกฯ อีกตำแหน่ง ซึ่งคาดหมายว่าจะเป็นการไปดูแลงานของสมศักดิ์ที่เคยดูก่อนหน้า
อีกด้านว่ากันว่านี่เป็นการไถ่บาปของนายใหญ่ที่เคยปลดสมศักดิ์พ้นเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เมื่อปี 2547 ในยุครัฐบาลไทยรักไทย จนเจ้าตัวต้องร่ำไห้ประกาศลาเก้าอี้กลายเป็นข่าวฮือฮาในยุคนั้น ผ่านมาเกือบ 20 ปี ที่สุดก็ได้กลับมาผงาดคุมกระทรวงใหญ่สมกับการรอคอย เช่นเดียวกับ สุทิน คลังแสง จากที่ก่อนหน้ามีข่าวว่าจะหลุดจากเก้าอี้มาตลอด แต่สุดท้ายก็ได้ไปต่อในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ข่าวที่บอกว่านายใหญ่เมินรับมาลัยสงกรานต์ที่เชียงใหม่ จึงเป็นแค่การเสี้ยมของคนอยากให้ปลด ความจริงคนในพรรครู้ดีว่าใครสนองนายได้ ยิ่งคนที่เคยเป็นครูมาก่อนย่อมรู้ดีอะไรควรไม่ควร
อรชุน