มาเลย์-สิงคโปร์ มองหุ้นไทย
มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับนักลงทุนต่างประเทศมองหุ้นไทยในขณะนี้ ล่าสุดค่ายหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) มีการโรดโชว์กับนักลงทุนประเทศสิงคโปร์ และมาเลเซีย
มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับนักลงทุนต่างประเทศมองหุ้นไทยในขณะนี้
ล่าสุดค่ายหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) มีการโรดโชว์กันนักลงทุนประเทศสิงคโปร์ และมาเลเซีย โดยเป็นนักลงทุนสถาบันทั้งหมด 23 แห่งเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน
พบว่า… นักลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในโหมด “รอดู” สถานการณ์ตลาดหุ้นไทย
เหตุผลเพราะรอความชัดเจนของปัจจัยบวกต่าง ๆ
ส่งผลให้มีนักลงทุนไม่กี่รายที่ “เพิ่มน้ำหนักลงทุน” (Overweight) ตลาดหุ้นไทย
และอีก 2-3 รายมีมุมมอง “เป็นกลาง”
ขณะที่นักลงทุนเกือบทั้งหมด “ลดน้ำหนักลงทุน” (Underweight) ตลาดหุ้นไทย เนื่องจากมองว่ายังขาดการเติบโต และมูลค่า (valuation) ค่อนข้างแพง
จากดัชนีตลาดหุ้นไทย ที่ปรับลดลง (Underperform) 5.7% จากต้นปี เมื่อเทียบกับ MSCI Asia ex-Japan
นักลงทุนส่วนใหญ่ จึงขอสำรวจโอกาสก่อน
และจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของภาคธนาคารและบริษัทขนาดใหญ่ของไทยที่รายงานงบไปก่อนหน้านี้
ส่งผลให้นักลงทุนสนใจตลาดหุ้นไทยมากขึ้น
มีประเด็นน่าสนใจคือ ทุกครั้งที่มีประชุมออนไลน์ (กับนักลงทุนต่างประเทศ) นักลงทุนมักจะถามถึงโครงการ Digital Wallet
เมย์แบงก์ เขามองว่า ขณะที่นายกรัฐมนตรีกำลังผลักดันอย่างหนักเพื่อทำให้นโยบายนี้เป็นจริง แต่ยังมีความไม่แน่นอนหลายประการเกี่ยวกับแหล่งเงินทุนและการดำเนินการ เช่น แอปที่พัฒนาขึ้นใหม่ หลักฐานรายได้ ฯลฯ
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ซึ่งนักลงทุนจำนวนมากเริ่มกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของ ธปท.
ส่วนทางเมย์แบงก์ฯ คาดว่า ธปท.จะลดดอกเบี้ยปีนี้ 1 ครั้งและต้นปีหน้าอีก 1 ครั้ง
โดยนักลงทุนมองว่าธนาคารไทยเป็นตัวแทนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและตลาดหุ้น และคิดว่าการจ่ายเงินปันผลที่สูงขึ้นอาจเป็นปัจจัยบวกหนุนการปรับประมาณการได้
ด้วยเหตุนี้ จึงสนใจหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลมากกว่า ที่เพิ่งได้รับการโปรดเกล้าฯ เมื่อวันศุกร์ที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา
รวมถึงโครงการ Digital Wallet ซึ่งจะเป็นปัจจัยกระตุ้นการบริโภคที่สำคัญ
และยังสนใจกลุ่มธนาคาร ดูแลสุขภาพ ท่องเที่ยว และนิคมอุตสาหกรรม
สรุป กลุ่มธุรกิจที่ได้รับความสนใจมากสุด ได้แก่ ธนาคาร การดูแลสุขภาพ และการท่องเที่ยว
ด้านกลุ่มดูแลสุขภาพยังคงเป็นกลุ่มที่นักลงทุนจำนวนมากชื่นชอบ เนื่องจากมีแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว ทั้งด้านโครงสร้างและการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์นักลงทุนยังสอบถามเกี่ยวกับภาคการท่องเที่ยวด้วย
และยังชอบ บมจ.ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT มากกว่าหุ้นโรงแรม เนื่องจากกังวลประเด็นจำนวนห้องพักโรงแรมในกรุงเทพฯ ที่เพิ่มสูง
สุดท้าย นักลงทุนสอบถามถึงกลยุทธ์การลงทุนในธีม EV หรือรถยนต์ไฟฟ้า และ FDI ที่เป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ
มองว่า “กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม” คือผู้ได้รับประโยชน์หลัก
ทว่า (กลุ่มนิคมฯ) การเติบโตมีแนวโน้มต่ำกว่าปีที่ผ่านมาค่อนข้างมาก จึงชอบธีมลงทุนในหุ้นได้ประโยชน์จากการเบิกจ่ายงบประมาณ
นักลงทุนยังให้ความสนใจอย่างมากกับธีมการลงทุนที่เมย์แบงก์ฯ แนะนำหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากการเบิกจ่ายงบประมาณ
เพราะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและตลาดหุ้น
ส่วนหุ้นรายตัว นักลงทุนต่างกระตือรือร้นที่จะเข้าศึกษา TASCO และ SCCC
โดยเมย์แบงก์ฯ บอกว่า ค่อนข้างแปลกใจมากที่นักลงทุนจำนวนมากในกัวลาลัมเปอร์ค่อนข้างคุ้นเคยกับ TASCO
สรุป…. เมย์แบงก์ฯ บอกด้วยว่า ไม่ได้มองว่านักลงทุนจะซื้อหุ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้
เนื่องจากยังต้องรอดูสถานการณ์กันไปก่อน คาดว่าเมื่อมีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ และกำไรปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/2567 เป็นต้นไป
หุ้นเหล่านี้ก็อาจจะ Outperform ได้
ธนะชัย ณ นคร