มอง SET เคลื่อนไหวในกรอบหลังเข้าสู่เทศกาลประกาศงบกลุ่ม Real Sector
InnovestX มองว่าการที่ Fed ดอกเบี้ยคงเดิม ไม่ลด-ไม่ขึ้นในช่วงนี้ รวมถึงประกาศเริ่มลดมาตรการ QT โดยลดการขายพันธบัตร
InnovestX มองว่าการที่ Fed ดอกเบี้ยคงเดิม ไม่ลด-ไม่ขึ้นในช่วงนี้ รวมถึงประกาศเริ่มลดมาตรการ QT โดยลดการขายพันธบัตรจาก 6 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน เป็น 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ MBS คงเดิม ถือเป็นการส่งสัญญาณผ่อนคลายให้กับตลาดโดยพฤตินัย เนื่องจากจะทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวเริ่มลดลง ทำให้ต้นทุนของภาคธุรกิจเริ่มลดลง และเป็นผลบวกต่อการลงทุนได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม InnovestX กังวลในความเสี่ยง 3 จุด คือ (1) เงินเฟ้อจะไม่ลดลงโดยง่าย เนื่องจากราคาพลังงานที่อยู่ในระดับสูงเริ่มผลักดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และส่งผลให้เงินเฟ้อจากอุปสงค์ (Demand pull) เริ่มเพิ่มขึ้น เห็นได้จากต้นทุนการจ้างงานที่เริ่มปรับเพิ่มขึ้น (2) เศรษฐกิจและการจ้างงานที่มีแนวโน้มชะลอลง ทั้ง GDP ไตรมาส 1/24 ที่แย่ลง ดัชนี ISM ภาคการผลิตที่กลับมาแดนลบ และตำแหน่งงานเปิดใหม่ (JOLT) ที่ลดลงต่อเนื่อง และ (3) การที่เงินเฟ้อสหรัฐฯ ไม่ลดลงง่าย ท่ามกลางเงินเฟ้อที่อื่น ๆ ที่ลดลงเร็วกว่า ทำให้ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ต้องอยู่สูงท่ามกลางการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางอื่น ๆ เกิดสัญญาณ Monetary divergence และเป็นความเสี่ยงต่อภาวะเงินทุนเคลื่อนย้ายด้วยภาพดังกล่าว
ทั้งนี้จะทำให้เศรษฐกิจเผชิญกับ 3 สถานการณ์ คือ (1) ภาวะ Inverted Yield Curve ที่ดอกเบี้ยระยะยาวต่ำกว่าดอกเบี้ยระยะสั้น ทำให้ต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจลดลง แต่ทำให้ความเสี่ยงของภาคธนาคารเพิ่มขึ้น (2) ภาวะ Stagflation อย่างอ่อน ๆ ทำให้ Fed ลดดอกเบี้ยได้ยากแม้เศรษฐกิจชะลอตัวเนื่องจากเงินเฟ้อยังคงสูง และ (3) ภาวะ Monetary divergence ทำให้ความเสี่ยงวิกฤตค่าเงินมีมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศตลาดเกิดใหม่ที่เผชิญ Reverse carry trade หรือการกู้เงินสกุลประเทศตลาดเกิดใหม่และกลับไปลงทุนในสหรัฐฯ
ในส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้น InnovestX มองว่าช่วงสั้นตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวในกรอบ หลังขาดปัจจัยชี้นำ โดยปัจจัยในประเทศยังอยู่ระหว่างรอดูผลประกอบการไตรมาส 1/67 ของกลุ่ม Real Sector ที่กำลังทยอยประกาศภายในกลาง พ.ค.นี้ ขณะที่การประชุมของเฟดที่มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายและส่งสัญญาณว่าเฟดจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไปซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 11-12 มิ.ย. เป็นไปตามตลาดคาด ดังนั้นกลยุทธ์จึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 4 ธีมหลัก ดังนี้
1.) หุ้นธีม Earning Play สำหรับเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 1/67 ซึ่งคาดจะเติบโตดี เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และจะประกาศในช่วงสองสัปดาห์หน้า อีกทั้งมองราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับตัวขึ้นไม่มาก เลือก AOT, ERW, MINT, KCE และ OSP ขณะที่แนะนำระมัดระวังการลงทุนในหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ซึ่งมีความเสี่ยงค่าเงินบาทอ่อนจะกดดันผลประกอบการไตรมาส 1/67 (GPSC เป็นหุ้นโรงไฟฟ้าที่ประกาศตัวแรก 8 พ.ค. ซึ่งตลาดคาดกำไรหดตัวเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน)
2.) หุ้นธีม Defensive Stock สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ซึ่งผลประกอบการไม่ผันผวนตามเศรษฐกิจ เลือก หุ้นการแพทย์ (BDMS) หุ้นขนส่งทางบก (BEM) หุ้นค้าปลีก (CPALL CPAXT) หุ้นสื่อสาร (ADVANC) หุ้นอสังหาฯ ปันผลดี (AP)
3.) สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไรในหุ้น Mid-Small Cap. ซึ่งคาดมีโมเมนตัมกำไรไตรมาส 1-2/67 เติบโตดีทั้งเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน เลือก ONEE, SNNP, THRE และ TIDLOR
4.) สถานการณ์ในตะวันออกกลางเริ่มเบาบางลง และรายงานสต๊อกน้ำมันที่เพิ่มมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งยังเป็นทิศทางตามฤดูกาล ในกรณีฐานที่เป็นสงครามเงา ราคาน้ำมันดิบ Bent จะอยู่ในระดับที่ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ดังนั้นการมีหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) จากกรณีความไม่สงบในตะวันออกกลาง สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง เลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP
สุกิจ อุดมศิริกุล