โหวงเหวง

ลำพัง “โมนิก้า” นั่งดูกระดานหุ้น พร้อมกับแกะงบหุ้นรายตัว ก็รู้สึกหนักใจมากกว่าเดิมหลายเท่า เพราะสิ่งที่เห็นในเที่ยวนี้มันฟ้องว่า “รวยกระจุก จนกระจาย”


ลำพัง “โมนิก้า” นั่งดูกระดานหุ้น พร้อมกับแกะงบหุ้นรายตัว ก็รู้สึกหนักใจมากกว่าเดิมหลายเท่า เพราะสิ่งที่เห็นในเที่ยวนี้มันฟ้องว่า “รวยกระจุก จนกระจาย” เลยเข้าใจเหตุผลที่ดัชนียังย่ำฐานอยู่กับที่ เพราะมันไม่มีตัวแปรไหนที่ส่งสัญญาณว่า ดัชนีจะแรลลี่ยาว ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจไทยยังต้วมเตี้ยม รวมทั้งการที่เงินในกระเป๋าของผู้คนก็มีค่าน้อยลง อันเป็นผลมาจากข้าวของเครื่องใช้แพงขึ้นแบบนี้..เดี๊ยนบอกได้ทันทีว่า เหนื่อยแน่เจ้าค่ะ

ประกอบกับมาเจอการแสร้งโง่ของคนในรัฐบาล “เสี่ยนิด” ซึ่งพูดถึงเรื่องข้าว 10 ปียังกินได้ แถมบรรดาลูกหาบก็ออกมาขู่ฟอด ๆ เตรียมดำเนินการทางกฎหมาย หากยังไม่หยุดพูดถึงเรื่องข้าวเก่าเก็บ หรือแม้กระทั่งเจ้าของโรงสีที่ออกหน้ามาแก้ต่างข้อสงสัยต่าง ๆ แต่กลายเป็นยิ่งพูดยิ่งทำให้สีข้างถลอกมากขึ้นกว่าเดิมแบบนี้ มันทำให้ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลลดลงเรื่อย ๆ ในสายตาประชาชน..มันคุ้มเหรอคะ

เนื่องจากรัฐบาลยังมีอีกหลายเรื่องที่รอการแก้ปัญหา แต่กลับมาเล่นเกมฟอกขาวในจังหวะที่คะแนนนิยมลดลง จึงทำให้ผู้คนก่นด่ากันอย่างหนัก เพราะก่อนหน้านี้เพิ่งมีประเด็นลูกสาวของนายใหญ่ฟาดหนักใส่ไม่ยั้งแบงก์ชาติ แต่กระแสดันตีกลับใส่ตัวนางแบบจัดเต็ม จนต้องวิ่งแจ้นหนีกองทัพสื่อไปหยก ๆ มันเป็นเรื่องที่ระเหี่ยใจมาก ๆ สำหรับคนที่เป็นกองเชียร์ เพราะนับวันยิ่งออกทะเลไปไกลน่ะซี

ด้วยเหตุนี้อย่าถามว่า ดัชนีจะขึ้นไปได้ไกลขนาดไหน? และอย่าฝันเฟื่องถึงเศรษฐกิจไทยจะโตแรง เพราะตัวเลขหนี้เสียที่เพิ่งประกาศออกมาเป็นล้านล้านบาท ล้วนเกิดจากสินเชื่อรถยนต์ และบ้าน มันสะท้อนถึงปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขควบคู่กับการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ “โมนิก้า” ถึงมองว่า การที่ดัชนีประคองตัวปิดที่ระดับ 1,376.57 จุด บวกไป 4.07 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.28 หมื่นล้านบาท มันเป็นเรื่องที่เหมาะสมทุกประการจ้า!

ขนาดหุ้นแบงก์ตัวท็อปของตลาดอย่าง KBANK ยังถูกรินขายตลอดทั้งวัน จนราคาหุ้นลงมายืนปิดที่ 132 บาท ลบไป 1 บาท หรือลงไป 0.75% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.55 พันล้านบาท เหมือนเป็นการชี้ว่า ได้แค่นี้จริง ๆ และถ้าย้อนกลับไปดูรอบที่เล่นกันก่อนหน้านี้ ราคาหุ้นก็มาจอดป้ายแถว ๆ 135 บาท “โมนิก้า” ถึงมองว่า การที่หุ้นจะไปต่อยาว ๆ ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยบวกใหม่ ๆ ทางด้านเศรษฐกิจเป็นหลักนะคะ

ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” ต้องเอ่ยถึงหุ้น JMT อีกครั้ง เพราะเรื่องหนี้เสียในระบบที่เพิ่มขึ้น น่าจะเป็นข่าวดีสำหรับบริษัทที่ซื้อหนี้เสียมาบริหารต่อ แต่เอาเข้าจริง ๆ กลับโดนรินขายแบบไม่ให้พักให้หายใจ จนราคาหุ้นลงมายืนปิดที่ระดับ 17.60 บาท ลบไป0.40 บาท หรือลงไป 2.20% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.18 พันล้านบาท น่าจะเป็นการส่งสัญญาณถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยได้เป็นอย่างดีพะย่ะค่ะ

เช่นเดียวกับแรงขายที่รินใส่น้องมิ้น MINT ทั้งที่ไตรมาส 1 พลิกกำไรพันกว่าล้าน จนราคาหุ้นทำได้แค่ยืนปิดเสมอตัวที่ระดับ 33.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 581 ล้านบาท ก็เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดดีเหมือนกัน! ครั้นจะบอกว่า ขายเมื่อความจริงปรากฏ ก็เป็นเรื่องที่พอรับฟังได้ หรือจะบอกว่า บรรยากาศลงทุนไม่เอื้อให้เล่นต่อ ก็ดูมีเหตุผลพอสมควร จึงอยากให้นักเล่นลองไปคิดกันดูว่า มันเกิดจากอะไรกันแน่นะนายจ๋า!

อีกรายที่ดูแปลก ๆ คงมองไปที่หุ้น BLC ซึ่งประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1 กำไรโต ราคาหุ้นก็ควรจะไปต่อสวย ๆ เพราะราคาหุ้นเพิ่งผงกหัวได้แค่สัปดาห์เดียว แต่วานนี้โดนสาดโครมเดียว จนราคาหุ้นลงมายืนปิดที่ระดับ 4.98 บาท ลบไป 0.52 บาท หรือลงไป 9.45% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 137 ล้านบาท มันเป็นเกมที่ดูบิด ๆ เบี้ยว ๆ ในสายตาคนที่เฝ้ามองหุ้นตัวนี้แบบห่าง ๆ หรือมีอะไรที่เดี๊ยนไม่รู้อ๊ะป่าว?

ตรงข้ามกับในรายของ NEX อย่างสิ้นเชิง เพราะรายนี้มีประเด็นเรื่องกำไรลด เพราะยอดส่งมอบรถล่าช้ากว่ากำหนด จึงทำให้นักลงทุนกังวลว่า กำไรปีนี้จะไม่ตามเป้า จึงเลือกใช้วิธีขายหุ้นออกมาก่อน เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น “โมนิก้า” ถึงไม่ข้องใจเมื่อเห็นราคาหุ้นทรุดฮวบลงมาปิดที่ระดับ 5.85 บาท ลบไป 1.75 บาท หรือลงไป 23% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 506 ล้านบาทพะย่ะค่ะ

โมนิก้า: และทีมงาน

Back to top button