มอง SET ขาดปัจจัยชี้นำ รอลุ้นความคืบหน้าฟื้น LTF

InnovestX มองว่า มาตรการภาษีจีนของ ปธน.ไบเดนเป็นการหวังผลทางการเมืองเป็นหลัก ขณะที่ผลต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้ออาจไม่มากนัก


InnovestX มองว่า มาตรการภาษีจีนของ ปธน.ไบเดนเป็นการหวังผลทางการเมืองเป็นหลัก ขณะที่ผลต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้ออาจไม่มากนัก เนื่องจากวงเงินของสินค้าที่จะขึ้นภาษีอยู่ที่ประมาณ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งน้อยกว่ากลุ่มสินค้าที่อดีต ปธน.ทรัมป์ประกาศที่มูลค่ารวม 2.3 แสนล้านดอลลาร์ โดยสินค้าที่รัฐบาลไบเดนวางแผนจะเก็บภาษีส่วนใหญ่เป็นสินค้าเชิงยุทธศาสตร์ เช่น รถ EV แบตเตอรี่ โซลาเซลล์ เป็นหลัก ต่างจากทรัมป์ที่กล่าวในการหาเสียงว่าพร้อมจะขึ้นภาษีกับสินค้าทุกชนิดที่นำเข้าจากจีนเป็น 60% นอกจากนั้น การปรับขึ้นภาษีอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่น่าจะทำให้เงินเฟ้อปรับขึ้นมากนัก อย่างไรก็ตาม ในภาพใหญ่ มาตรการนี้จะนำไปสู่การตอบโต้ทางการค้า (retaliation) จากจีน รวมถึงนำไปสู่การเบี่ยงเบนทางการ (trade diversion) ซึ่งไทยอาจได้ประโยชน์บ้าง แต่ต้องจับตารายละเอียดต่อไป

ในประเด็นเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ลดลงเกินคาดนั้น เป็นผลจากค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางที่ลดลงเป็นหลัก ซึ่งทำให้องค์ประกอบเงินเฟ้อด้านต้นทุนการผลิต (Cost-push) ลดลงจาก 0.97% (p.p.) สู่ 0.88% ขณะที่องค์ประกอบเงินเฟ้อจากค่าจ้างและอื่น ๆ (Demand-pull) เพิ่มขึ้นเล็กน้อย (จาก 0.41% สู่ 0.45%) ส่วนค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบ้านทรงตัว (2.03%) ซึ่งทำให้โอกาสในการลดดอกเบี้ยมีมากขึ้น 

อย่างไรก็ตาม InnovestX กังวลว่า แม้ราคาน้ำมันในปัจจุบันจะลดลงจากในเดือน เม.ย. แต่ก็ยังอยู่สูงกว่าในช่วงเดียวกันของปีก่อนมากขึ้น (ปัจจุบันน้ำมันดิบห่างกันถึงกว่า 5 ดอลลาร์/บาร์เรล) ซึ่งจะทำให้ความเสี่ยงเงินเฟ้อสูงยังมีอยู่ในระยะต่อไป

ส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้น InnovestX มองว่า SET จะยังแกว่งตัวเคลื่อนไหวในกรอบ หลังขาดปัจจัยชี้นำและสิ้นสุดเทศกาลประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/67 ของ บจ. แล้ว ขณะที่ประเด็นในประเทศติดตามตัวเลข GDP ไตรมาส 1/67 ซึ่งคาดจะมีอัตราการเติบโตต่ำเพียง 0-1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่อาจมีแรงเก็งกำไรในหุ้นขนาดใหญ่จากความคาดหวังข่าวความคืบหน้าการฟื้นกองทุน LTF กลับมาอีกครั้ง หลัง FETCO เตรียมนัดสมาชิก 7 องค์กร เพื่อหารือกันในวันที่ 21 พ.ค. 67 นอกจากนั้นตัวเลขเศรษฐกิจในต่างประเทศเองมีแนวโน้มชะลอตัวลง ดังนั้นกลยุทธ์จึงแนะนำให้ Selective Buy” ใน 3 ธีมหลัก ดังนี้

  1. หุ้น Big Cap. ซึ่งกำไรไตรมาส 1/67 ออกมาดีกว่าตลาดคาด และไตรมาส 2/67 มองกำไรจะยังสามารถเติบโตทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อนหน้า อีกทั้ง Valuation ยังไม่แพง เลือก MINT, ADVANC, TU, CPF และ BEM   
  2. สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไรหุ้น Mid-Small Cap. ซึ่งคาดกำไรไตรมาส 2/67 จะมีแนวโน้มเติบโตดีทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน เลือก KCE, BTG, OSP, HMPRO และ TIDLOR
  3. สถานการณ์ในตะวันออกกลางเริ่มเบาบางลง ทำให้ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวลดลงมาอยู่ในกรอบล่างของช่วง 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งมองยังสามารถมีหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ได้ ดังนั้นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง จึงยังคงเลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP

สุกิจ อุดมศิริกุล

Back to top button