พาราสาวะถีอรชุน

การเอ่ยปาก “ผมขอโทษ” ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาต่อการออกคำสั่งตามมาตรา 44 ในนามหัวหน้าคสช.ปลดบอร์ดสำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพหรือสสส.จำนวน 7 คนนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องปกติและธรรมดาอย่างแน่นอนก่อนที่จะตามมาด้วยท่วงทำนองอันอ่อนโยนในวันรุ่งขึ้นให้ทั้ง 7 คนสามารถเข้ารับกระบวนการสรรหาบอร์ดใหม่ได้


การเอ่ยปาก ผมขอโทษ” ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาต่อการออกคำสั่งตามมาตรา 44 ในนามหัวหน้าคสช.ปลดบอร์ดสำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพหรือสสส.จำนวน 7 คนนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องปกติและธรรมดาอย่างแน่นอนก่อนที่จะตามมาด้วยท่วงทำนองอันอ่อนโยนในวันรุ่งขึ้นให้ทั้ง 7 คนสามารถเข้ารับกระบวนการสรรหาบอร์ดใหม่ได้

เนื่องจากในวันนี้บิ๊กตู่ได้สั่งการให้บอร์ดที่เหลืออยู่ดำเนินการสรรหาบอร์ดใหม่และเลือกตัวบุคคลมาดำรงตำแหน่งผู้จัดการสสส. ทำให้มีการต่อจิ๊กซอว์กันออกไปว่าท่าทีที่เปลี่ยนไปขององค์รัฎฐาธิปัตย์เป็นเพราะการขยับแสดงความไม่พอใจของบรรดาหมอขาใหญ่ทั้งหลายหรือเปล่าที่ไล่เรียงมาตั้งแต่ประเวศ วะสี จนไปถึง พลเดชปิ่นประทีป

ที่ตีบทแตกมากที่สุดคงเป็นมงคล ณ สงขลา กับการโพสต์ข้อความผ่านโฟซบุ๊กสารภาพว่าทำผิดอย่างมหันต์ไปแล้วกับการไปร่วมม็อบชัตดาวน์กรุงเทพฯเพราะจากที่คิดว่าสถานการณ์ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แย่แล้วตอนนี้กลับยิ่งแย่กว่าครั้นจะออกไปเคลื่อนไหวคัดค้านก็ไม่กล้าเพราะกลัวเหล่าทหารหาญที่ใช้อำนาจอย่างเด็ดขาด

เมื่อเครือข่ายคนดีที่มีเครือข่ายประชาสังคมหนุนหลังย่อมทำให้ท่านผู้นำที่มีจะถือดาบอาญาสิทธิ์ที่เบ็ดเสร็จก็ต้องยอมใส่เกียร์ถอยอย่างน้อยก็ถือว่าเป็นพวกเดียวกันที่ช่วยปูทางจนคณะรัฐประหารในนามคสช.ต้องออกมายึดประเทศเมื่อถอดรหัสจากคำพูดของบิ๊กตู่จะเห็นภาพของความเชื่อมโยงขบวนการล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้เป็นอย่างดี

ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการก้าวล่วงการทำงานของผู้ทรงคุณวุฒิและผู้อาวุโสต่างๆและไม่ได้บอกว่ามีการทุจริตภายใน สสส. แต่เนื่องจากเรื่องนี้เป็นที่เกี่ยวข้องกับประชาชนและสังคมโดยตรงก็จะต้องมีการตรวจสอบเพื่อให้เกิดความชัดเจนไม่ให้เป็นที่ครหารวมทั้งยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับระบบงานงบประมาณซึ่งจะต้องมีการดูว่าไปใช้จ่ายอย่างไรบ้าง”

จากการพลิกบทบาทต่อกรณีสสส. ทำให้หลายคนหวั่นใจกันต่อไปว่าน่าจะมีผลต่อกรณีการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 ซึ่งมติที่ประชุมมหาเถรสมาคมหรือมส.ได้เสนอชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ให้พลเอกประยุทธ์นำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯโดยเกรงกันว่าน่าจะมีการดองหรือดึงเรื่องไว้โดยการอ้างความเคลื่อนไหวของพุทธะอิสระ

ยิ่งได้เห็นท่าทีที่แปลกแปร่งของวิษณุ เครืองาม ยิ่งเป็นสัญญาณชัดโดยจากเดิมบอกว่านายกฯไม่มีเหตุที่จะต้องปฏิบัติเป็นอย่างอื่นเพราะตามกฎหมายคณะสงฆ์ปี 2505 แก้ไขเพิ่มเติมปี 2535 นั้นนายกฯ มีหน้าที่นำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯตามความเห็นของ มส. ที่จะต้องเลือกจากสมเด็จพระราชาคณะผู้อาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์

แต่ล่าสุดวิษณุบอกว่าหากมีข้อคัดค้านก็ไม่จำเป็นต้องเร่งนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯพร้อมๆกับยกตัวอย่างว่าเคยมีการว่างเว้นสมเด็จพระสังฆราชถึง 37 ปีนี่ย่อมแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลโดยเฉพาะบิ๊กตู่กำลังคิดอะไรอยู่หากเป็นความขัดแย้งทั่วไปคงไม่มีใครว่าแต่กรณีของพุทธะอิสระที่ออกมาเคลื่อนไหวพร้อมไพศาล พืชมงคล และ ไพบูลย์นิติตะวันมันทำให้เกิดข้อสงสัยต่อขบวนการบางอย่างในทันทีทันใด

ในขณะเดียวกันเหตุที่วิษณุยกมาอ้างซึ่งเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ทรงไม่แต่งพระอนุชาขึ้นเป็นพระสังฆราชไม่ได้เกิดจากการขัดขวางจากฝ่ายใดแต่พระปิยมหาราชทรงเกรงว่าหากพระอนุชาได้เป็นผู้นำศาสนจักรแล้วจะทำให้โลกติเตียนได้ ดังนั้นการละเว้นการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชในกรณีดังกล่าวจึงแตกต่างกับเหตุการณ์ในช่วงนี้ที่พุทธะอิสระกับพวกออกมาขัดขวาง

ขบวนการล้มการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชทำกันอย่างเป็นระบบสร้างเรื่องยุแหย่ให้วงการสงฆ์เกิดความขัดแย้งแตกแยก แน่นอนว่าเป้าหมายของพวกที่เคลื่อนไหวคือต้องการให้สมเด็จพระราชาคณะของฝ่ายตนเองได้ขึ้นเป็นสังฆราชซึ่งต้องขึ้นอยู่กับท่านผู้นำว่าจะเลือกความถูกต้องคือกฎหมายคณะสงฆ์หรือเลือกพระอาจารย์อันเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ

อย่างที่เคยบอกไปทั้งบิ๊กตู่ทั้งพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณและ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดาต่างมีความเทิดทูนศรัทธาพุทธะอิสระแน่นอนว่าความศรัทธาเป็นสิทธิโดยส่วนตัวใครจะตำหนิไม่ได้แต่ไม่ใช่ใช้ความศรัทธานั้นมาทำลายระบบหรือตัวบทกฎหมายที่ถูกต้องเรื่องนี้หากผู้มีอำนาจเลือกพระจารย์เพราะกลัวจะถูกตัดขาดความขัดแย้งยุ่งเหยิงจะตามมาในเร็ววัน

นอกเหนือจากความเคลื่อนไหวที่กล่าวหาสมเด็จช่วงโดยพระที่ไม่ได้ปฏิบัติกิจของสงฆ์นับตั้งแต่เป็นแกนนำม็อบล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์และไปกรรโชกทรัพย์ของโรงแรมแห่งหนึ่งแล้วยังพบว่ามีความพยายามในการใช้กลไกขององค์กรรัฐเข้าไปเล่นงานเจ้าอาวาสวัดปากน้ำด้วยกับข่าวที่ว่าดีเอสไอจะเข้าไปตรวจสอบรถหรูที่วัดดังกล่าว

ทั้งที่จากข้อมูลของวัดปากน้ำภาษีเจริญพบว่ารถยนต์ดังกล่าวมีเอกสารถูกต้องทุกประการและเป็นรถที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ของเก่าร่วมกับของใช้ของคนในสมัยอดีตเพื่อให้เยาวชนคนรุ่นหลังได้ศึกษาสิ่งสำคัญคือถ้าจะตรวจสอบหรือขอข้อมูลทำไมไม่ส่งเจ้าหน้าที่ไปขอข้อมูลและสอบถามข้อเท็จจริงแต่กลับมีการนัดกับสื่อมวลชนที่เป็นพรรคพวกตนเองเข้าไปร่วมตรวจสอบ

นั่นเท่ากับว่าเป็นเจตนาที่ต้องการสร้างมลทินให้เกิดกับสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์มีการเตรียมใช้สื่อขยายความให้คนเห็นผิดจากข้อเท็จจริงกรณีนี้เป็นสิ่งที่ท่านผู้นำจะปล่อยผ่านไม่ได้แม้จะไม่ใช่นักการเมืองแต่ต้องไม่ให้ใครนำเอาวิธีการสามานย์แบบการเมืองเข้ามาแทรกแซงในกิจการพระพุทธศาสนาคงต้องคิดให้ดีว่าจะเลือกปฏิบัติกับพระ 1 รูปหรือจะต้องเกรงใจพระทั้งประเทศ

Back to top button