พาราสาวะถี

การยอมรับว่าได้เข้าพบ วิษณุ เครืองาม ที่บ้านพักเพื่อขอคำแนะนำในการเขียนคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญปมถูก 40 สว.ยื่นร้องให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี


การยอมรับว่าได้เข้าพบ วิษณุ เครืองาม ที่บ้านพักเพื่อขอคำแนะนำในการเขียนคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญปมถูก 40 สว.ยื่นร้องให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ เศรษฐา ทวีสิน เป็นการแสดงให้เห็นว่า สามารถเข้าได้กับทุกฝ่าย สะท้อนถึงสายสัมพันธ์ส่วนตัวที่มีมาก่อนหน้าในยุคที่เป็นนักธุรกิจเต็มตัว รวมไปถึงความสนิทชิดกันของหลังบ้านท่านผู้นำ มีคำชี้แนะจากกูรูใหญ่ด้านกฎหมายขนาดนี้ ย่อมทำให้เจ้าตัว มีความมั่นใจในการสู้คดีเป็นธรรมดา

การที่ ทักษิณ ชินวัตร บอกตรง ๆ กลุ่มยื่นร้องเขี่ยเศรษฐาตกเก้าอี้เป็นคนของใคร มีเบื้องหลังและเป้าหมายอย่างไร ไม่ใช่เรื่องการกดดันกระบวนการพิจารณา เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ หากแต่เป็นเรื่องที่รู้อยู่แล้วว่า ตั้งต้นกันมาอย่างนี้มีวัตถุประสงค์อะไร ต้องการที่จะเตะตัดขาใคร อยากหนุนให้หน้าไหนได้มาเป็นนายกฯ แทน โจทย์ไม่ยากหากผลไม่ใช่หวยล็อก แต่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ และวุ่นวายทันทีถ้าตีความแล้ว อธิบายให้สังคมยอมรับไม่ได้

ถ้าย้อนกลับไปฟังคำพูดของอดีตคนที่อยู่ในองค์กรอิสระซึ่งยอมรับว่า ตัดสินเรื่องร้องตามกระแส ย่อมทำให้มองกันได้ว่า อย่าได้ยึดสาระ หรือเนื้อหาที่ตัวบทกฎหมายได้บัญญัติไว้เป็นหลัก หากเป็นกรรมการตัดสินมวย ก็จะเป็นพวกตัดสินค้านสายตาคนดู งานนี้ก็เช่นเดียวกัน ปมข้อกฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติคนที่จะเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญที่บัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรไม่มีปัญหา แต่การตีความเรื่องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์จะใช้อะไรมาเป็นตัวชี้วัด

เหมือนกรณี สมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ ผู้ล่วงลับที่ต้องพ้นตำแหน่งผู้นำประเทศ เพราะทำกับข้าวออกทีวี มีการใช้พจนานุกรมมาชี้ขาด กรณีของเศรษฐาก็ไม่แน่ว่าจะเข้าอีหรอบเดียวกันหรือเปล่า แต่บริบททางการเมืองของรัฐบาลพลิกขั้วต้องยอมรับว่า ต่างจากรัฐบาลยุคหลังรัฐประหารเสียของเป็นอย่างมาก การตั้งการ์ดรัดกุม เช่นเดียวกับเสียงที่สนับสนุน พวกขาประจำ คนหน้าเดิมที่ถือหางอนุรักษนิยมสุดโต่ง รวมไปถึงหัวขบวนต่อต้านระบอบอุปโลกน์อย่างระบอบทักษิณ นับวันก็ร่อยหรอลงไปทุกที

ไม่ใช่อุดมการณ์เปลี่ยนไป หรือได้รับการปรับทัศนคติ แต่เป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่ตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา พวกที่สวาปามกับการเป็นกองหนุนหลักของเผด็จการสืบทอดอำนาจมีแต่ได้กับได้ แต่ส่วนใหญ่ นอกเหนือจากการได้รับผลกระทบอาจไม่ถึงขั้นเสียหายหนัก ทว่าก็ไม่ได้ดีอย่างที่ควรจะเป็น มิหนำซ้ำ ยังต้องมีต้นทุนที่จะต้องจ่ายเพื่อให้กิจการของตัวเองไม่ถูกเพ่งเล็ง และเล่นงานด้วยกลไกของขบวนการสูบ จากที่เคยหลงเชื่อว่าจะมีการปฏิรูปกลับหนักข้อกว่าเดิม  

หากยึดเอาทิศทางที่ว่า พิจารณากันตามกระแส อารมณ์ ความรู้สึกของคนส่วนใหญ่เวลานี้ย่อมรู้ดีว่า ต้องการให้เศรษฐานำทัพรัฐบาลพลิกขั้วบริหารประเทศต่อไป ด้วยความหวังว่ามีโอกาสที่จะลืมตาอ้าปากได้ ขณะที่อีกด้าน หากล้มรัฐบาลนี้แล้วต้องเข้าสู่กระบวนการหาตัวผู้นำคนใหม่ ไม่มีใครการันตีได้ว่า ผลลัพธ์ที่ออกมาจะหัวหรือก้อย พรรคก้าวไกลที่ถูกกีดกันไม่ให้เข้าสู้เส้นทางของอำนาจบริหาร หากต้องเลือกนายกฯ คนใหม่โดยที่พวกลากตั้งไม่ได้เข้ามายุ่งด้วยแล้ว ไม่มีใครรู้ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

เมื่อการเมืองไม่ใช่เรื่องที่ต้องเป็นศัตรูถาวร การประคับประคองให้เพื่อไทยสามารถอยู่ร่วมกับเครือข่ายของอนุรักษนิยมสุดโต่งต่อไปได้ให้นานที่สุด ย่อมเป็นทางเลือกที่ควรจะเดินมากกว่าการล้มกระดาน ส่วนทางเลือกที่ว่า มีปัญหากันมากก็ใช้อำนาจเผด็จการทหารเข้ามาจัดการอีกกระทอก หนนี้มันจะไม่ง่ายเหมือนตอนที่มีการวางแผนกันมาทั้งปี 2549 และ 2557 จากที่เคยชัตดาวน์และแช่แข็งประเทศ หากทำอีกรอบนี้อาจจะลุกเป็นไฟจนยากที่จะเยียวยาได้

การเมืองหน้าฉากก็เป็นไปอย่างที่เห็น แต่เบื้องหลังไปไกลกันหลายช่วงตัว อย่างที่ทักษิณพูดถึงการดึงเอา สุวัจน์ ลิปตพัลลภ มาเป็นกำลังหลักสำคัญของเพื่อไทย ก็เป็นการฉายหนังตัวอย่างให้เห็นแล้วว่า เลือกตั้งครั้งหน้าการเดินเกมการเมืองของพรรคแกนนำรัฐบาลจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่การใช้สูตรไล่ฮุบบ้านใหญ่มาเข้าพรรค กวาดต้อนบรรดาพรรคขนาดกลางทั้งหลายมาร่วมทีมเดียวกัน เพราะการเมืองเปลี่ยนไปมาก ผลโพลของสถาบันพระปกเกล้าล่าสุด ทำให้เห็นแล้วว่าแนวโน้มการเลือกของประชาชนจะไปในทิศทางใด

โจทย์ที่บรรดากุนซือการเมืองของพรรคนายใหญ่วิเคราะห์และมองกันก็คือ หลังการยุบพรรคก้าวไกลแล้ว ระดับนำที่จะมาบริหารพรรคใหม่เป็นใคร กระแสของผู้สนับสนุนยังคงแข็งแรง และเพิ่มมากขึ้นหรือไม่ ร่วมกับการประเมินผลของการทำงานโดยเฉพาะหลังจากที่ดิจิทัลวอลเล็ตได้ขับเคลื่อนไปแล้ว แรงหนุนของเพื่อไทยและรัฐบาลจะกระเตื้องขึ้นมาขนาดไหน ในส่วนของพรรคนอกจากดึงพวกต่างพรรคเข้ามาแล้ว ก็จะต้องเติมคนที่สามารถเรียกคะแนนจากคนรุ่นใหม่เพิ่มเติมเข้ามาเช่นเดียวกัน

การทำงานการเมืองสไตล์นายใหญ่ จากที่เคยประสบความสำเร็จในการทำโพลเพื่อจัดวางตัวผู้สมัครในอดีต ยังคงทำเช่นนั้นต่อไป แต่ไม่เพียงพออีกแล้วกับการเมืองในปัจจุบัน เพราะสินค้ามีคู่แข่งที่น่ากลัว อีกประการสำคัญที่ทีมงานได้สรุปบทเรียนจากการเลือกตั้งที่ผ่านมาคือ ตัวผู้สมัครที่พบว่าหลายพื้นที่ทำตัวห่างเหินกับประชาชน และประมาทด้วยความที่ว่าอยู่ภายใต้สีเสื้อเพื่อไทยแล้วนอนมาแน่นอน หากมีการประเมินแล้วกระแสไม่ได้ ก็จะมีการเปลี่ยนตัวกันล็อตใหญ่เลยทีเดียว

ทำให้เวลานี้ การเมืองในพื้นที่ทั่วประเทศ นอกเหนือจากการช่วงชิงเสนอตัวคนในสังกัดเพื่อลงชิงเก้าอี้นายก อบจ.แล้ว หลายรายที่เป็นนักการเมืองรุ่นเก่าก็เร่งผลักดันลูกหลานให้ลุยงาน พบปะประชาชน สร้างฐานเสียงกันไว้ตั้งแต่วันนี้ จังหวัดที่เคยเป็นหัวใจสำคัญแต่กลับพ่ายแพ้แบบหมดรูป เช่น เชียงใหม่ ได้มีการวิเคราะห์เหตุผล นอกจากตัวบุคคล ยังลงลึกกันไปถึงประชากรระดับหมู่บ้าน ตำบล ของแต่ละอำเภอกันเลยทีเดียว ตามเก็บกันทุกเม็ดทุกดอก การเมืองยุคนี้จึงเป็นเรื่องของการพร้อมที่จะรับความเปลี่ยนแปลง และต้องเปลี่ยนตาม พวกดักดานใช้วิธีแบบเดิมกำลังจะกลายเป็นคนที่โลกลืม

อรชุน

Back to top button