ดัชนีมาม่าพุ่ง

ไหน ๆ ก็มีประเด็นให้สังคมเม้าท์เรื่องไข่ไก่ต่อแผงปรับราคาขึ้น 6 บาท หรือขึ้นฟองละ 20 สตางค์ทั้งที “โมนิก้า” เลยถือโอกาสพูดถึงภาพใหญ่ของเศรษฐกิจไทย


ไหน ๆ ก็มีประเด็นให้สังคมเม้าท์เรื่องไข่ไก่ต่อแผงปรับราคาขึ้น 6 บาท หรือขึ้นฟองละ 20 สตางค์ทั้งที “โมนิก้า” เลยถือโอกาสพูดถึงภาพใหญ่ของเศรษฐกิจไทย เพื่อชี้ให้เห็นนโยบายของขุนคลังคนใหม่จะแก้ปัญหาได้จริงเหรอ? เพราะการทำงานภาคเอกชนมันต่างลิบลับกับการทำงานด้านการเมือง จึงทำให้พวกกองแช่งอยากเห็นฝีไม้ลายมือจะเจ๋งจริงเหมือนที่เขาร่ำลืออ๊ะป่าว?

เนื่องจากในช่วง 10 เดือนที่รัฐบาลเพื่อไทยเข้ามาบริหารประเทศ ก็ไม่สามารถทำตามเหมือนที่พ่นน้ำลายได้สักอย่าง โดยเฉพาะปัญหาเรื่อง “ค่าไฟ ค่าแก๊ส ค่ำน้ำมัน” ที่นับวันจะปรับตัวสูงขึ้น มันทำให้ต้นทุนในการทำธุรกิจสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (สมัยลุงตู่ น้ำมันแค่ 30 บาท แต่สมัยเสี่ยนิดใกล้จะ 33 บาทแล้ว) “โมนิก้า” ถึงมองไม่เห็นหนทางที่จะพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ไงล่ะคะ

ประกอบกับมีการพูดถึง “ดัชนีมาม่า” หรือ “MAMA Index” ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้ชี้วัดแนวโน้มของเศรษฐกิจในประเทศ อย่างไม่เป็นทางการ โดยทฤษฎีนี้มีหลักสำคัญว่า เมื่อเศรษฐกิจอยู่ในภาวะตกต่ำ ความต้องการบริโภคมาม่าจะโต และเรื่องนี้ก็ได้รับการยอมรับในระดับหนึ่ง “โมนิก้า” ถึงอยากให้นักเล่นเทียบเคียงประเด็นดังกล่าวกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันว่า น่าเชื่อขนาดไหนพะย่ะค่ะ 

โดยประเด็นดังกล่าวถูกย้ำหัวหมุดจากเรื่องราวในอดีต ซึ่งมีการพูดถึงราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นได้สร้างผลกระทบกับการกินอย่างมาก เพราะต้องแบกภาระของราคาสินค้าที่สูงขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องแบกรับปัญหาเงินเฟ้อในคราวเดียวกัน ส่งผลให้ประชาชนต้องรีบ “รัดเข็มขัด” และเลือกกินอาหารที่มีราคาถูกเป็นการทดแทน ซึ่งการกินมาม่าที่มีจำนวนมากขึ้น ก็เปรียบเสมือนตัวชี้วัดโดยตรงทางการกินอยู่ของคนในประเทศนั่นเองจ้า!

สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” ต้องเอ่ยถามว่า การที่ดัชนียืนปิดในระดับ 1,362.70 จุด ลบไป 3.67 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.38 หมื่นล้านบาท มีส่วนที่สัมพันธ์โดยตรงกับประเด็นข้างต้นมากน้อยเพียงใด และการที่ดัชนีอ่อนปวกเปียกทุกวันนี้มาจากเรื่องเศรษฐกิจอ่อนแอจริงไหม? และสถานการณ์ดังกล่าวจะดีขึ้นได้เมื่อไหร่? ล้วนเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องติดตามดูกันต่อไปนะจะบอกให้

เหมือนกับเรื่องที่เกิดกับราคาหุ้น KEX ก็ทำให้เดี๊ยนสตั๊นไปพักใหญ่ ๆ เพราะหลายคนรู้ดีว่า ธุรกิจนี้คือธุรกิจเผาเงินทิ้ง และการได้ทุนจีนเข้ามาเสริมทัพใหญ่แบบจัดเต็ม มันจะช่วยให้บริษัทกลับมาทำกำไรอย่างบูรณาการจริงไหม? เหล่านี้เป็นข้อกังขาส่วนตัวของอีฉัน จึงไม่ขอแสดงความคิดเห็นต่อการขึ้นไปถึง 5.05 บาท ก่อนจะย่อลงมาปิดที่ 4.14 บาท บวกไป 0.10 บาท หรือขึ้นไป 2.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 216 ล้านบาทนะจ๊ะ

ส่วนรายที่รีเทิร์นแบบจัดเต็ม “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้น NER หลังราคาหุ้นไต่ระดับขึ้นมาปิดที่ 5.95 บาท บวกไป 0.25 บาท หรือขึ้นไป 4.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 170 ล้านบาท พ่วงด้วยสตอรี่ราคายางพุ่ง ซึ่งจะทำให้กำไรไตรมาส 2 โตอีก จนโบรกเกอร์บางแห่งให้ราคาเป้าหมายสูงถึง 7.20 บาทแบบนี้ มันเป็นจังหวะที่ต้องเล่นต่ออย่างไม่ต้องสงสัย เพราะองค์ประกอบหลายอย่างมันเอื้อให้เหลือเกินจ้า!

อีกรายที่น่าจับตาก็คือ STGT หลังพุ่งพรวดขึ้นมาปิดที่ระดับ 11.60 บาท บวกไป 0.80 บาท หรือขึ้นไป 7.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 345 ล้านบาท โดยราคาหุ้นพยายามฝ่าแนวต้านสำคัญบริเวณ 12 บาท ท่ามกลางความเชื่อที่ว่า ผลประกอบการปีนี้จะฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ จึงเป็นเรื่องที่ทำให้เดี๊ยนสนใจมากเป็นพิเศษ เพราะจะเป็นการขึ้นแบบจริงจังในรอบ 3 ปี 5 เดือนพะย่ะค่ะ

ตบท้ายกันที่สงครามระหว่างโบรกฯ ออนไลน์กันดีกว่า เพราะสิ่งที่ปรากฏบนโซเชียลแพลตฟอร์มต่าง ๆ มันเหมือนเป็นการตัดคู่แข่งคนสำคัญออกจากตลาด จึงต้องโขยกซ้ำไม่ให้เหลือซากไว้ดูต่างหน้า และเผอิญอีฉันก็เป็นคนประเภทชอบเผือกไปทุกเรื่อง เลยมีเสียงเม้าท์มอยสิ่งที่เกิดขึ้นเที่ยวนี้ว่า มีวาระอย่างแน่นอน..ส่วนจะเป็นจริงเหมือนที่ร่ำลือหรือไม่? ก็ต้องดูกันต่อนะตัวเอง!

โมนิก้า: และทีมงาน

Back to top button