การเมืองกดดันหุ้นเดือน มิ.ย. ผันผวน
3 เหตุการณ์สำคัญของการเมืองไทยที่จะเกิดขึ้นในเดือนมิถุยายน 2567 นั่นคือ 1.การพิจารณายุบพรรคก้าวไกลของศาลรัฐธรรมนูญ
เส้นทางนักลงทุน
3 เหตุการณ์สำคัญของการเมืองไทยที่จะเกิดขึ้นในเดือนมิถุยายน 2567 นั่นคือ 1.การพิจารณายุบพรรคก้าวไกลของศาลรัฐธรรมนูญ 2.การพิจารณาคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน โดยศาลรัฐธรรมนูญ 3.การที่สำนักงานอัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร ผิดม.112 ซึ่งมีการนัดส่งฟ้องศาลในวันที่ 18 เดือนนี้
ส่งผลให้โบรกเกอร์บางรายตัดสินใจปรับลดเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) สิ้นปีนี้ลง ขณะที่โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ฟันธงว่าตลาดหุ้นไทยในเดือนมิถุนายนต้องเผชิญกับความผันผวนหนัก
- หุ้นผันผวนจับตาการเมือง
จาก 3 เหตุการณ์สำคัญดังกล่าว บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ ระบุว่า จะทำให้ภาพตลาดหุ้นไทยในเดือนนี้ SET Index จะแกว่งตัวผันผวนไปกับพัฒนาการของปัจจัยการเมืองภายในประเทศ
แต่จากกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดยังคงทรงตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อน เมื่อมาประกอบกับมาตรการ Uptick rule ที่คาดว่าจะถูกบังคับใช้ได้ในเดือนนี้ ทำให้ประเมิน Downside ของ SET Index เริ่มอยู่ในกรอบจำกัด
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ประเมินภาพเศรษฐกิจในช่วงเดือนมิถุนายน เข้าสู่จุดเปลี่ยนจากปัจจัยในเรื่องทิศทางดอกเบี้ยโลกเป็นขาลงที่อาจเกิดขึ้นไม่พร้อมกัน และความไม่แน่นอนทางการเมืองไทยยังบดบังการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจและกำไรบจ.
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทย (GDP) ไตรมาส 1 ปี 2567 เติบโต 1.5% และกำไรบจ.อยู่ที่ 2.77 แสนล้านบาท เป็นปัจจัยบวก แต่กลับถูกกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมือง เพราะอาจกระทบเสถียรภาพรัฐบาล จึงบดบังภาพเศรษฐกิจไทยที่ทยอยฟื้นตัว รวมถึงกำไรบจ.ที่น่าจะผ่านจุดต่ำสุดแล้ว
ส่วนปัจจัยภายนอกสำคัญที่ต้องติดตามคือ การประชุมธนาคารกลางสำคัญ ๆ ของโลก อาจเริ่มมีสัญญาณไม่ไปในทิศทางเดียวกันในเดือนนี้ โดยธนาคารกลางสหรัฐ (FED) มีโอกาสเริ่มลดดอกเบี้ยช้าออกไป หลังตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดีตามคาด ขณะที่ ECB ส่งสัญญาณ Dovish อ่อน ๆ และน่าจะเห็นการนำร่องในการลดดอกเบี้ย เนื่องจากเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเข้าสู่กรอบเป้าหมายระยะกลางที่ 2% ส่วนการปรับลดดอกเบี้ยของไทยคาดยังไม่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ หลัง Bond Yield ไทยเร่งตัวขึ้นแรงในช่วงกลางเดือน พ.ค. 2567
ส่วนปัจจัยผลักดันในประเทศเดือนมิถุนายน คือการเริ่มเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 สร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และมาตรการสร้างความเชื่อมั่นของตลาด ที่ทยอยเป็นรูปธรรมมากขึ้นในช่วงท้ายไตรมาส 2 เป็นต้นไป
การกลับมาของ LTF หากเกิดขึ้นจริง จะช่วยเสริมสภาพคล่อง และช่วยผลักดันให้ SET Index ทยอยฟื้นตัวในช่วงที่เหลือของปีนี้ ทั้งนี้ให้น้ำหนักหุ้นไทยที่คำแนะนำ Slightly Overweight และวางกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index เดือนมิถุนายนไว้ที่ 1,340-1,400 จุด
สำหรับบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส คาด GDP ของไทยจะเร่งตัวขึ้นในไตรมาส 2 ไปจนถึงครึ่งหลังของปี 2567 โดยมีมุมมองเชิงบวกต่อ GDP คาดจะโตประมาณ 1% ในทุกไตรมาสของปีนี้ จากการเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณ และคาดคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตลอดปีนี้ และสงครามการค้าอาจกดดันเศรษฐกิจโลกและส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย
อย่างไรก็ตาม มองความไม่แน่นอนทางการเมืองจะกดดันในระยะสั้น จึงคงเป้า SET Index ในปีนี้ที่ 1,470 จุด น่าสนใจสำหรับการลงทุนในระยะยาว จาก P/E ที่ 14.7 เท่า และมี Earnings yield gap อยู่ที่ประมาณ 4%
บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI มองสวนทางว่าปัจจัยการเมืองดังกล่าวอาจกลายเป็นปัจจัยลบที่กดดันตลาดหุ้นไปอีก 2-3 เดือน หรือนานกว่านั้น จึงส่งผลกระทบต่อทั้งเศรษฐกิจไทยให้ชะลอตัวลง และเซนติเมนต์ (sentiment) ตลาดเงินทุนต่างชาติไหลออกเพิ่มขึ้น แม้มีปัจจัยบวกการนำกองทุน LTF กลับมา จึงปรับเป้า SET Index สิ้นปีนี้ลงเป็น 1,480 จุด เท่ากับ P/E 15 เท่า ในปี 2568 จากเดิมที่ 1,560 จุด P/E 15.9 เท่า
- กลยุทธ์การลงทุนเดือน มิ.ย.
บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ แนะเพิ่มน้ำหนักหุ้นในกรอบ 1,340-1,350 จุด ประเมินแนวรับสำคัญไม่น่าหลุด 1,300 จุด โดยกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจสำหรับพอร์ตที่ต้องการเพิ่มน้ำหนักการลงทุน ได้แก่ กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะถูกนำเข้าสู่ดัชนี SET50/SET100, กลุ่ม Defensive เช่น โรงพยาบาล เพื่อป้องกันความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยการเมืองในประเทศ และกลุ่มส่งออกที่ยังคงปรับตัว Laggard
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส แนะนำกลยุทธ์เน้นทยอยสะสมหุ้นแนวโน้มกำไรโตต่อในช่วงฤดูกาล คือ TU, SNNP, SJWD และหุ้นที่เป็นเป้าหมายของ Fund flow ในระยะถัดไป คือ GULF, BBL, ADVANC, MTC หมุนเวียนเข้ามาในพอร์ตตามจังหวะที่เหมาะสม
บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส มองแนวโน้มกำไรบจ.ที่เป็นบวกตั้งแต่ไตรมาส 2 ไปจนถึงช่วงที่เหลือของปี ตลาดมี Upside ระยะสั้นจำกัดจากความไม่แน่นอนทางการเมือง จนกว่าแต่ละคดีจะมีคำตัดสิน เลือกหุ้นเด่นประกอบไปด้วย CHG, CPALL, ITC, KCG และ TFG
ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล ให้หุ้น Top pick ประกอบด้วย AMATA, BBL, CPALL, GFPT, PTTEP, SCB และ TU
ท่ามกลาง 3 สถานการ์สำคัญทางการเมืองที่กดดันการลงทุนในตลาดหุ้นเช่นนี้ นักลงทุนควรติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด