พาราสาวะถี

เก็บตัวเงียบนับตั้งแต่อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องในคดีความผิดมาตรา 112 ของ ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมา


เก็บตัวเงียบนับตั้งแต่อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องในคดีความผิดมาตรา 112 ของ ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีการมองว่าน่าจะเป็นการนิ่งเพื่อดูท่วงทำนองของฝ่ายตรงข้าม แต่เปล่าเลย อย่างที่ทราบกันว่า อดีตนายกรัฐมนตรีได้ส่งทนายไปยื่นหนังสือต่ออัยการหนึ่งวันก่อนนัดฟังคำสั่งว่าติดโควิด-19 นั่นจึงเป็นเหตุให้ต้องหยุดพักรักษาตัวให้หาย ก่อนที่จะปรากฏตัวอีกครั้งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาในงานบวชของลูกชาย กฤษฎา หลีนวรัตน์ หรือ นายกฯ เบี้ยว นายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี ปทุมธานี

ไม่ใช่แค่การไปร่วมงานแต่มีทั้งการให้โอวาทนาคบนเวที และบทสัมภาษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความมั่นอกมั่นใจต่อสถานการณ์ทางการเมือง รวมไปถึงส่วนที่เป็นคดีความของตัวเอง อย่างที่รู้กัน ปทุมธานีได้ชื่อว่าเป็นฐานของคนเสื้อแดงที่แน่นหนาและเหนียวแน่น ทักษิณจึงใช้โอกาสนี้เชิญชวนให้แนวร่วมทั้งหลายกลับมาเลือกพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้า หลังจากเลือกตั้งที่ผ่านมา พรรคได้ สส.มาแค่คนเดียวก็คือ มนัสนันท์ หลีนวรัตน์ ลูกชายของนายกฯ เบี้ยวนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ไฮไลต์ในการปรากฏตัวครั้งนี้ คงอยู่ที่การตอบคำถามของสื่อเกี่ยวกับประเด็นที่อัยการสูงสุดนัดส่งฟ้องคดีในวันที่ 18 มิถุนายนนี้ โดยทักษิณย้ำว่า ถ้านัดมาก็ไป เพราะครั้งที่แล้วป่วย ครั้งแรกอัยการเลื่อนนัด ดังนั้น จึงไม่มีเหตุอะไรที่จะต้องไม่ไป ส่วนประเด็นเสียงวิจารณ์ว่าจะหลบหนีไปต่างประเทศนั้น อดีตนายกฯ ชี้ว่าจินตนาการเยอะไป มีการลือถึงขนาดว่า แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทยพาตนออกไปประเทศสิงคโปร์ เจ้าตัวถึงขั้นบอกว่า “ปั๊ดโธ่เอ้ย”

ทั้งนี้ ในส่วนเรื่องความมั่นใจต่อคดีนี้นั้น ทักษิณยืนยันว่า ไม่เห็นมีอะไร และคดีนี้จะเป็นตัวอย่างให้คนเห็นว่า ตอนปฏิวัติยัดข้อหาอย่างไร คดีนี้เป็นคดีที่ไม่มีมูลเลยแม้แต่นิดเดียว แต่พยายามที่จะนำไปตีความ เพื่อให้มันมีมูล และเมื่อคนหนึ่งสั่งฟ้อง คนอื่นก็ไม่กล้าที่จะสั่งไม่ฟ้อง เลยสั่งฟ้อง ซึ่งไม่ใช่หลักกฎหมาย แบบนี้เขาเรียกว่า เป็นผลไม้ของต้นไม้ที่เป็นพิษ คือการทำคดีแต่ละข้อกล่าวหาที่ตั้งแต่ต้นมีการข่มขู่ในชั้นพนักงานสอบสวนโดยผู้บังคับบัญชา คดีไม่ควรเป็นคดี

เมื่อมองจากมุมนี้ ก็จะเห็นได้ว่านายใหญ่ไม่ได้กังวลในคดีความที่ตัวเองถูกเล่นงาน ปัจจัยหนึ่งคือเป็นการเปิดโอกาสให้ได้สู้คดีถึง 3 ศาล ตามกระบวนการยุติธรรมปกติ ซึ่งจะได้ไปพิสูจน์กันว่า ปมที่มีการกล่าวหา และหลักฐานที่นำมายื่นฟ้องนั้น เป็นข้อเท็จจริงหรือมีการปั้นเสริมเติมแต่งอย่างไรหรือไม่ จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าหนักใจ อำนาจที่ทรงพลัง ถือเป็นจุดชี้วัดในคดีนี้ การที่ทักษิณแสดงความมั่นอกมั่นใจ ย่อมหมายความว่า ทุกอย่างจะไปได้สวย

ประเด็นที่เป็นการเปิดเพื่อชี้ชวนให้สังคมมองไปยังขบวนการของเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ยังหลงเหลือ และหวังที่จะกลับมามีอำนาจมากกว่า ด้วยการปฏิเสธเรื่องปิดดีลไม่ลง จนทำให้โดนสั่งฟ้องในคดี ด้วยการย้ำว่า ไม่ได้ดีลกับใคร ดีลแค่กับหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ย้ำว่าไม่เกี่ยวกับดีลไม่ได้ เลยไม่ไปตามที่อัยการนัดสั่งฟ้องเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา พร้อมกับการจี้จุดฝ่ายที่สร้างปัญหาให้กับรัฐบาลว่า หากจะมีคนวุ่นวายก็แถวบ้านในป่านั้นแหละ ไม่เกี่ยวกับตน แต่เกี่ยวกับรัฐบาล

ระบุตัวกันโต้ง ๆ ตรง ๆ แบบนี้ไม่ต้องเดากันให้ยุ่งยาก คงหนีไม่พ้นคนที่เคยไปเกาะโต๊ะขอตำแหน่งกับทักษิณเมื่อครั้งยังอยู่ในอำนาจนั่นเอง การที่ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นการส่งสัญญาณอะไรให้คนบ้านในป่า ด้วยการบอกว่า “ไม่รู้ อยู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาอย่างนั้นแหละ” ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า นี่คือการเตือนว่ารู้นะคิดและทำอะไรกันอยู่ ถือเป็นโจทย์ที่ เศรษฐา ทวีสิน จะต้องไปสู้ตามกระบวนการในศาลรัฐธรรมนูญ แต่การได้ วิษณุ เครืองาม มานั่งที่ปรึกษานายกฯ ที่ว่ายากคงจะง่ายขึ้นเยอะ

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ท่านผู้นำยังคงเดินหน้าทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยต่อไป สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาลงพื้นที่เชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง เปิดงานด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว ดูแลปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง และเอาใจเกษตรกรชาวสวนลำไยด้วยการรับประกันว่าราคาจะดีขึ้นอย่างแน่นอน การขับเคลื่อนเช่นนี้นับตั้งแต่รับตำแหน่ง มันช่วยให้เกิดภาพความตั้งใจ และพยายามที่จะดูแลแก้ไขปัญหาเพื่อให้คุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้น ดังนั้น เมื่อเจอแรงเสียดทาน จึงมีแนวร่วมให้อยู่ต่อมากกว่าจะขับไสไล่ส่ง 

ขบวนการ 3 ล้มที่ วันชัย สอนศิริ ปูดข้อมูลวันก่อน เรียงลำดับความเป็นไปได้จากมากไปหาน้อยน่าจะเป็น ยุบพรรคก้าวไกล ล้มเลือก สว. และล้มเศรษฐาพร้อมรัฐบาล กรณีแรกนั้นมองเห็นโอกาสรอดแทบไม่เห็น ทำได้แค่ยื้อเวลาให้นานที่สุดเท่านั้น ส่วนการล้มเลือก สว. เมื่อ กกต.มีมติเดินหน้าเลือกโดยระดับอำเภอดำเนินการกันไปแล้วเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นั่นหมายความว่า หากศาลตัดสินชี้ว่าร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก็เข้าสู่กระบวนการแก้ไขกฎหมายให้ถูกต้องเท่านั้น

การที่ กกต.เดินหน้าจัดให้มีการเลือกต่อไป เท่ากับว่า แผนของพวกจ้องล้มไม่เป็นผล หาก กกต.บ้าจี้ชะลอไปตามข้อเรียกร้องของบางพวกบางฝ่ายก็เข้าทาง พอเดินหน้าไปแบบนี้ก็ต้องไปวัดกันที่ผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มีประเด็นจากเหตุผลของ กกต.ที่เดินหน้าเลือกต่อไปนั้น นั่นก็คือ รัฐธรรมนูญ มาตรา 132 เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบ พ.ร.ป.ทุกฉบับได้ส่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งศาลฎีกาและศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบความชอบ รวมถึง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. ที่ได้รับความเห็นชอบและใช้สำหรับการเลือก สว.ครั้งนี้ก็ผ่านขั้นตอนนี้มาแล้ว

วันนี้ กกต.กำลังปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายที่ออกโดยชอบด้วยรัฐสภา วันข้างหน้า ถ้ามีเหตุจำเป็นอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ กกต.คงใช้อำนาจตามหน้าที่ที่มีในการแก้ไขปัญหานี้ จะว่าไปการยื่นเรื่องร้องครั้งนี้ คงมีข้อสงสัยกันไม่น้อย เพราะ พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.ประกาศใช้มาตั้งแต่ปี 2562 แล้ว เหมือนที่ สว.วันชัยว่า “แปลก อัศจรรย์ว่าทำไมเพิ่งมาเห็นกันตอนนี้ ระบบการเลือก สว.แบบนี้ก็เคยใช้มาแล้ว ทำไมเพิ่งมีปัญหาเอาตอนนี้” เป็นธรรมดาพวกไม่อยากถอดหัวโขน ลงจากอำนาจทำให้ต้องดิ้นกันทุกช่องทาง อาการคงไม่ต่างจากคนที่บ้านอยู่ในป่านั่นแหละ

อรชุน

Back to top button