‘เสี่ยปู่’ ไม่ทน.!

จากภาวะตลาดหุ้นไทยที่ดำดิ่ง ทำให้ความหวังที่ว่าหลังได้รัฐบาลชุดใหม่ที่มีนายกรัฐมนตรีชื่อ “เศรษฐา ทวีสิน” มาช่วยกอบกู้สถานการณ์


จากภาวะตลาดหุ้นไทยที่ดำดิ่ง ทำสถิตินิวโลว์ในรอบ 4 ปี (เมื่อ 10 มิ.ย. 2567 ลงไปแตะที่ 1,313.78 จุด) ทำให้ความหวังที่ว่าหลังได้รัฐบาลชุดใหม่ที่มีนายกรัฐมนตรีชื่อ “เศรษฐา ทวีสิน” และมีทีมเศรษฐกิจจากพรรคเพื่อไทยมาช่วยกอบกู้สถานการณ์ จะทำให้หุ้นไทยดีขึ้น..!!

แต่ในความเป็นจริงกลับสวนทางกับสิ่งที่หวัง เพราะไม่ดีไม่พอ ถึงขั้นเลวร้ายลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ…จะด้วยปัจจัยภายในหรือปัจจัยภายนอก หรืออะไรก็ไม่รู้ แต่มันทำให้มูลค่าการซื้อขายในแต่ละวันแห้งเหี่ยว เฉลี่ยอยู่ที่ 30,000-40,000 ล้านบาทต่อวันเท่านั้น…เห็นแล้วน่าเศร้าใจจริง ๆ..!!

จากปรากฏการณ์ดังกล่าว ทำให้นักลงทุนรายย่อยอยู่ยาก ส่วนนักลงทุนสถาบันก็อยู่ยาก ในขณะที่นักลงทุนรายใหญ่ก็อยู่ยากเช่นกัน…ที่เห็นชัดและเตะตาก็กรณี “เสี่ยปู่”–สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล ที่ในรอบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีการเจียดขายหุ้นหลาย ๆ ตัวออกมา

เริ่มจากเมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2567 ได้ขายหุ้นบริษัท โรแยล พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ PLUS จำนวน 1,192,000 หุ้น คิดเป็น 0.1779% ส่งผลให้เหลือถือหุ้น 56.29 ล้านหุ้น คิดเป็น 8.4018% จากเดิมถือหุ้นอยู่ 57.48 ล้านหุ้น คิดเป็น 8.5797%

อ้อ…ในวันเดียวกัน “วารุณี ชลคดีดำรงกุล” ภรรยา “เสี่ยปู่” ก็ขายหุ้น PLUS ด้วยนะ จำนวน 114,200 หุ้น คิดเป็น 0.0170% ส่งผลให้เหลือถือหุ้น 7.82 ล้านหุ้น คิดเป็น 1.1666% จากเดิมถือหุ้นอยู่ 7.93 ล้านหุ้น คิดเป็น 1.1837%

จากนั้นในวันที่ 4 มิ.ย. 2567 “เสี่ยปู่” ได้ขายหุ้นบริษัท บลูเวนเจอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BVG จำนวน 219,600 หุ้น คิดเป็น 0.0488% ส่งผลให้เหลือถือหุ้น 22.31 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.9578% จากเดิมถืออยู่ 22.53 ล้านหุ้น คิดเป็น 5.0066%

ตามด้วยในวันที่ 10 มิ.ย. 2567 ได้ขายหุ้นบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI จำนวน 260,000 หุ้น คิดเป็น 0.0105% ส่งผลให้เหลือถือหุ้น 89.18 ล้านหุ้น คิดเป็น 3.6341% จากเดิมถือหุ้นอยู่ 89.44 ล้านหุ้น คิดเป็น 3.6447%

น่าเสียดายที่ไม่ได้ระบุว่าขายที่ราคาเท่าใด..?

ว่าไปแล้วการขายหุ้นของ “เสี่ยปู่” มองได้หลายมุม…1)อาจเป็นเพราะภาพรวมตลาดไม่ดี พอทิศทางลมไม่ดี เลยถือโอกาสปรับพอร์ตหรือเปล่า..??

2)ร้อนเงิน มีความจำเป็นต้องใช้เงินในช่วงนี้หรือเปล่า..?? เลยต้องขายหุ้นออกมา

และ 3)หุ้นบางตัวเล่นด้วยบัญชีมาร์จิ้นหรือเปล่า..?? พอราคาลงลึก เลยถูกฟอร์ซเซลล์ หรือบังคับขาย

แต่ระดับเสี่ยใหญ่อย่าง “เสี่ยปู่” คงไม่ได้เล่นด้วยบัญชีมาร์จิ้นหรอกมั้ง..!?

แต่ถ้าไปดูปัจจัยพื้นฐานของหุ้นแต่ละตัวที่ขายออกมา ก็ไม่มีอะไรเชิงลบมากนัก ถ้าจะขายด้วยเหตุผลที่ว่างบไตรมาส 1/2567 ออกมาไม่ดี ก็ต้องขายตั้งแต่วันแรก ๆ ที่ประกาศงบสิ ทั้งตัว ORI และ BVG ซึ่งงบไตรมาสแรกกำไรลดลง ไม่ใช่มาขายเอาป่านนี้..??

มิหนำซ้ำ PLUS ก็ทำผลงานได้ดีมาตลอด กำไรโตวันโตคืน ล่าสุดงบไตรมาส 1/2567 โชว์กำไรสุทธิ 12.78 ล้านบาท เติบโต 56.1% จากไตรมาส 1/2566 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 8.20 ล้านบาท ในขณะที่ตัวธุรกิจน้ำผลไม้ยังไปได้สวย โดยเฉพาะน้ำมะพร้าว เป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์สุขภาพทั่วโลกที่มีศักยภาพการเติบโต

แล้วไหงมาเจียดขายหุ้น PLUS ทิ้งเสียล่ะ…บ่เข้าใจ๋จริง ๆ พับผ่าสิ..!!

ก็ไม่รู้ว่า หลังจากนี้ “เสี่ยปู่” จะขายหุ้นตัวไหนออกมาอีกหรือเปล่า..?? ต้องจับตากันต่อไป

แหม๊…เห็น “เสี่ยปู่” เกียร์อาร์อย่างนี้ จะเห็นเสี่ยคนอื่นใส่เกียร์ถอยบ้างหรือเปล่าน้อ..??

แต่จากสถานการณ์ตลาดอย่างนี้ ก็ไม่แน่นะออเจ้า..!!

…อิ อิ อิ…

Back to top button