Nvidia ใหญ่คับวอลล์สตรีท

การปรับตัวเพิ่มขึ้นของหุ้นผู้ผลิตชิป ที่ร้อนแรงอย่าง เอนวิเดีย (Nvidia) และหุ้นขนาดยักษ์ใหญ่อื่นอีกไม่กี่ตัวได้ขับเคลื่อนตลาดหุ้นสหรัฐฯ


การปรับตัวเพิ่มขึ้นของหุ้นผู้ผลิตชิป ที่ร้อนแรงอย่าง เอนวิเดีย (Nvidia) และหุ้นขนาดยักษ์ใหญ่อื่นอีกไม่กี่ตัวได้ขับเคลื่อนตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างมาก จนทำสถิติสูงสุดใหม่ ถือเป็นการฟื้นความกังวลกลับมาอีกครั้งว่า ผลตอบแทนของตลาดกลายมา “ผูกติด” กับกลุ่มบริษัทหลักเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น..!!

ข้อมูลจาก S&P Dow Jones Indices ระบุว่า ประมาณกว่า 60% ของผลตอบแทนรวมปีนี้ ที่มากกว่า 12% ของดัชนี S&P 500 ถูกขับเคลื่อนโดยบริษัทเพียง 5 แห่ง คือ เอนวิเดีย (Nvidia), ไมโครซอฟท์ (Microsoft), เมตา แพลตฟอร์มส (Meta Platforms, อัลฟาเบท (Alphabet), แอมะซอน (Amazon) หุ้นเหล่านี้มีการ “ถ่วงน้ำหนัก” มากสุด

ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา หุ้นเอนวิเดีย กลายมาเป็นบริษัทที่มูลค่าสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก จากผลของการปรับเพิ่มขึ้น 147% โดยเฉพาะหุ้นเอนวิเดีย ตัวเดียวคิดเป็นการเพิ่มขึ้นของดัชนี S&P 500 ประมาณ 1 ใน 3 หรือกว่า 33%

ขณะที่ราคาหุ้นหลายบริษัทที่ปรับตัวสูงขึ้น น้ำหนักในดัชนี S&P 500 ของหุ้นเหล่านี้ ค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ทำให้มีความเอนเอียงต่อดัชนีในวงกว้าง

จากข้อมูลของ Bianco Research ระบุว่า หุ้นที่มีมูลค่าสูงสุด 4 หุ้น คือไมโครซอฟท์, แอปเปิล, เอนวิเดีย, และ อัลฟาเบท คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 24% ของดัชนี S&P เมื่อช่วงสิ้นเดือน พ.ค.นับเป็นการถ่วงน้ำหนักมากสุด สำหรับหุ้น 4 ตัว รอบ 60 ปี

ทำให้บรรดานักลงทุนต่างเชื่อว่า ความสำคัญหรือการให้น้ำหนักของบริษัทต่าง ๆ ในตลาด มาจากการที่มีผลประกอบการหรือกำไรที่แข็งแกร่ง, ตำแหน่งในตลาดที่ได้เปรียบเชิงการแข่งขัน และความคาดหวังที่พวกเขาจะได้ผลประโยชน์อย่างฉับพลันของปัญญาประดิษฐ์ (AI)

อย่างไรก็ดีนักลงทุนบางส่วนยังกังวลต่อการปรับเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น อาจทำให้เกิดผลร้ายต่อดัชนีหากว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีชื่อเสียงบางแห่งเริ่มสั่นคลอน..!!!

Angelo Kourkafas นักกลยุทธ์การลงทุนอาวุโส Edward Jones ระบุว่า หากหุ้นขนาดใหญ่อันดับต้น ๆ เหล่านี้หยุดปรับตัวสูงขึ้น และไม่เห็นหุ้นตัวอื่น ๆ ที่เหลือของตลาดเข้ามาช่วยสนับสนุน อาจเป็นไปได้ว่าจะเป็นสาเหตุของความอ่อนแอหรือเปราะบางของตลาดได้

Howard Silverblatt นักวิเคราะห์ดัชนีอาวุโส S&P Dow Jones Indices ระบุว่า หุ้นใหญ่สุด 10 อันดับแรกในดัชนี S&P500 บ่งชี้ว่าน้ำหนักหุ้นเหล่านั้นเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 34.1% ณ สิ้นเดือนพ.ค. 67 เป็นน้ำหนักสูงสุดช่วงสิ้นเดือนสำหรับหุ้น 10 อันดับแรกดังกล่าว

ความกังวลต่อการกระจุกตัวของตลาดเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 24% ช่วงปี 2566 เมื่อความกังวลจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยดึงดูดนักลงทุนไปยังบริษัทขนาดใหญ่ ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าอันเนื่องมาจากความผันผวนของเศรษฐกิจ ที่ได้รับแรงขับเคลื่อนอย่างโดดเด่น จากกลุ่มบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ (Megacap) และหุ้นเติบโตสูงที่ได้รับฉายาว่า “7 หุ้นยอดเยี่ยม” หรือ Magnificent Seven ขณะที่หุ้นเหล่านั้นทะยานขึ้น ตลาดส่วนใหญ่ฟื้นตัวอย่างช้า ๆ แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะยังไม่เกิดขึ้นก็ตาม

Jack Manley นักกลยุทธ์ตลาดลงทุนระดับโลกจาก J.P. Morgan Asset Management ระบุว่าเราทุกคนรู้สึกตื่นเต้นกับการฟื้นตัวแบบวงกว้างที่ขยายออกไปและดูเหมือนว่าจะหยุดชะงักลงช่วงครึ่งปีแรกนี้

Back to top button