หลุด 1,300 ก็จบเกม!
สิ่งที่ทุกคนรับรู้อยู่เต็มอก และรู้มานานก็คือ ในช่วงที่อเมริกามีปัญหาเศรษฐกิจ และแก้ปัญหาด้วยการพิมพ์เงินออกมาแบบไม่มีลิมิต
สิ่งที่ทุกคนรับรู้อยู่เต็มอก และรู้มานานก็คือ ในช่วงที่อเมริกามีปัญหาเศรษฐกิจ และแก้ปัญหาด้วยการพิมพ์เงินออกมาแบบไม่มีลิมิต พร้อมกับหว่านเงินไปทั่วโลก ก็ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกดีอย่างผิดหูผิดตา เพราะมีเงินก้อนใหม่เข้ามาอัดฉีดเพิ่มสภาพคล่อง แต่ทันทีที่อเมริกาดีขึ้น และมีการขึ้นดอกเบี้ย ก็มีการโยกเงินกลับอย่างต่อเนื่อง และทำให้ตลาดหุ้นอเมริกาดีแบบโอเว่อร์สุด ๆ..จำได้ไหมคะ
ในขณะเดียวกันจะเห็นว่า นับตั้งแต่มีการรัฐประหาร และมีกีฬาสีทางด้านการเมือง ตลาดหุ้นไทยก็ไม่ได้เลวร้ายเหมือนเช่นตอนนี้ และถ้าเทียบกับการมีนายกฯ “คอ-นก-รีต” หรือนายกฯ “ทหาร” ที่ไม่มีความรู้ทางด้านเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นไทยก็ยังดูดีกว่าวันนี้อย่างเห็นได้ชัด “โมนิก้า” ถึงเห็นแย้งกับคนอื่นว่า การเมืองแทบจะไม่มีผลกับตลาดหุ้นไทย แต่ที่ตลาดหุ้นไทยมันเป็นเช่นนี้ เพราะเศรษฐกิจไทยมันแย่กว่าใครเพื่อนน่ะซี
วันนี้ถึงต้องยอมรับความจริงที่ว่า การที่รัฐบาลร้องแรกแหกกระเชอให้แบงก์ชาติลดดอกเบี้ย มันมีผลน้อยกว่าการทำให้ค่าครองชีพลด แต่บรรดาผู้รู้ของทีมเศรษฐกิจรัฐบาลก็ยัง “แบะ..แบะ” ซึ่งผิดกับพรรคเพื่อไทยสมัยก่อนที่รู้ว่า จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไร? เดี๊ยนถึงมองว่า หากดัชนีหลุดแนวรับสุดท้าย 1,300 จุด..ก็จบเกม เพราะอาการของดัชนีจะแกว่งตัวตุปัดตุเป๋ พร้อมกับทำโลว์ใหม่อีกพะย่ะค่ะ
ฉะนั้นการที่ดัชนีพยายามดีดกลับ แต่สุดท้ายก็ทรุดตัวลงปิดที่ระดับ 1,306.56 จุด ลบไป 5.22 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.86 หมื่นล้านบาท ทั้งที่ตลาดหุ้นต่างประเทศอยู่ในโซนแดงเป็นส่วนมาก “โมนิก้า” ย่อมมองเป็นความพยายามฝืนกระแสเกินไปหน่อย เพราะเมื่อย้อนดูความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน ก็ดีแค่บางกลุ่มบางตัวเท่านั้น จึงกลายเป็นหนังเรื่องยาวที่ต้องนั่งลุ้นตลอดเวลา แต่ไม่รู้จุดจบจะนองเลือดขนาดไหนจ้า
เหมือนกับแรงขายรอบใหม่ที่ถาโถมใส่ GULF จนราคาหุ้นลงมากองอยู่ที่ระดับ 39 บาท ลบไป 1.25 บาท หรือลงไป 3.11% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.35 พันล้านบาท พร้อมกับทำโลว์ใหม่ให้เห็นเป็นระยะ “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องปกติในยามที่ไม่มีสตอรี่ใหม่ ๆ เข้ามากระตุ้น ผนวกกับนักลงทุนสถาบันถอนตัวจากตลาดหุ้นไทยเป็นแถว เลยเดาไม่ออกว่า ราคาหุ้นจะไปจบตรงไหน? นะออเจ้า
เช่นเดียวกับสถานการณ์ของน้องมิ้น MINT ถูกรินขายตั้งแต่ต้นเดือนแบบมาราธอน ก่อนจะยืนปิดที่ระดับ 29.75บาท ลบไป 0.50 บาท หรือลงไป 1.65% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.06 พันล้านบาท ก็เป็นจังหวะของการถอยฉากมากกว่าสวนกระแส เพราะถ้ายึดโลว์เก่าที่บริเวณ 26 บาท ย่อมเป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องประเมินผลลัพธ์ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อจะได้ตัดสินใจถูกว่า เหมาะต่อการทยอยช้อนหุ้นหรือเปล่าจ้า!
ส่วนคนที่สบายสุดต้องมองไปที่ BEM เป็นลำดับแรก เพราะราคาหุ้นแกว่งตัวไปมาในกรอบ 7.50-8.50 บาทร่วมเดือน ขณะที่หุ้นตัวอื่น ๆ พากันทำโลว์ใหม่เป็นระยะ “โมนิก้า” เลยมองว่า การประคองตัวปิดที่ระดับ 8 บาท บวกไป 0.20 บาท หรือขึ้นไป 2.56% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 803 ล้านบาท เหมือนมีลุ้นเล็ก ๆ จะขึ้นไปหาไฮเดิมที่เคยทำไว้ และกลายเป็นช็อตที่เหมาะสำหรับพวกเสือปืนไวพะย่ะค่ะ
เช่นเดียวกับในรายของ NEO มักทะยานขึ้นแบบไม่ให้รู้ตัว “โมนิก้า” มาเห็นอีกทีก็ขึ้นมาอยู่ที่ 56 บาท บวกไป 3.50บาท หรือขึ้นไป 6.67% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 214 ล้านบาทเสียแล้ว! และถ้ามองตามเนื้อผ้าจะเห็นว่า หุ้นตัวนี้ทำธุรกิจที่เกี่ยวกับสินค้าอุปโภคเป็นส่วนใหญ่ และสินค้าจำพวกนี้ก็มีการใช้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เดี๊ยนเลยไม่แปลกใจที่ราคาหุ้นทะยานแรงอีกครั้ง เพราะวันนี้หุ้นเพิ่งเทรดบน PE 17 เท่าเองค่ะ
ตบท้ายกันที่หุ้น GFC เพื่อบอกเล่าสตอรี่การเติบโตให้นักลงทุนกลับไปคิดเป็นการบ้านดีกว่า เพราะทุกคนรู้ดีว่า คลินิกทำลูกมักมีการขยายสาขา เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าเพิ่มขึ้น “โมนิก้า” ถึงมองว่า ในระยะกลางถึงยาวจะเห็นพัฒนาการของกำไรที่ดีขึ้น และทำให้การยืนปิดที่ระดับ 9.90 บาท ลบไป 0.50 บาท หรือลงไป 4.81% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 23 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับฐานเดิม น่าสนใจเจ้าค่ะ
โมนิก้า: และทีมงาน