CPF โอกาสในเทรดวอร์จีน-อียู
สงครามการค้าระหว่าง “จีนกับสหรัฐฯ” รอบใหม่ เพิ่งเริ่มปะทุขึ้นไปได้ไม่นาน.! ล่าสุดสมรภูมิเทรดวอร์ “จีนกับอียู” เกิดขึ้นมาอีกสังเวียน
สงครามการค้าระหว่าง “จีนกับสหรัฐฯ” รอบใหม่ เพิ่งเริ่มปะทุขึ้นไปได้ไม่นาน.! ล่าสุดสมรภูมิเทรดวอร์ “จีนกับอียู” เกิดขึ้นมาอีกสังเวียน นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นทำให้เกิดจุดเปลี่ยนดุลยภาพทางการค้าโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้..!!
สารตั้งต้นของ “เทรดวอร์จีน-อียู” เริ่มจากสหภาพยุโรป (EU) ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า (EV) จากประเทศจีน ที่มีอัตราสูงสุดถึง 38.1% ด้วยเหตุผลที่ว่า “มีการอุดหนุนจากรัฐบาลจีน” ในอุตสาหกรรมยานยนต์แดนมังกร
ตามรอยสหรัฐอเมริกา ที่ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า (EV) จากจีน เพิ่มเติมอัตราสูงสุดมากถึง 102.5% จากปัจจุบันเรียกเก็บภาษีนำเข้าเฉลี่ยประมาณ 27.5%
ทำให้ “รัฐบาลปักกิ่ง” อยู่เฉยไม่ได้..!!??
ล่าสุด..กระทรวงพาณิชย์จีน ประกาศเปิดการสอบสวนการทุ่มตลาดต่อการนำเข้าที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหมู และผลิตภัณฑ์เนื้อหมู จากสหภาพยุโรป (EU) โดยพุ่งเป้าปักหมุดไปที่ประเทศสเปน, เนเธอร์แลนด์, ฝรั่งเศส และเดนมาร์ก เพื่อตอบโต้ทางการค้าต่อกลุ่มอียู
นัยสำคัญเพื่อเป็นการตอบโต้ กรณีอียูประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า (EV) จากจีน อัตราสูงสุด 38.1% ดังกล่าว
โดยการสอบสวนการทุ่มตลาดดังกล่าวของจีน จะมุ่งเน้นไปที่เนื้อหมูนำเข้า สำหรับคนบริโภค เช่น เนื้อหมูสด และเนื้อหมูแช่แข็ง ตลอดจนเครื่องในหมู อาทิ ไส้หมูและกระเพาะหมูเป็นต้น
กระทรวงพาณิชย์จีน ระบุว่า การเปิดการสอบสวนครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากได้รับคำร้องเรียนจากสมาคมสัตวบาลของจีน ที่ยื่นคำร้องเข้ามาในนามของผู้ประกอบอุตสาหกรรมเนื้อหมูในประเทศจีน ที่ขอให้รัฐบาลเปิดการสอบสวนการต่อต้านการทุ่มตลาดในผลิตภัณฑ์เนื้อหมูจากยุโรป
จากข้อมูลของกรมศุลกากรจีน พบว่า ปี 2566 จีนมีการนำเข้าเนื้อหมู รวมถึงเครื่องในหมูมีมูลค่ากว่า 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 216,000 ล้านบาท และมากกว่าครึ่งมาจากกลุ่มสหภาพยุโรป
โดย “สเปน” มีการส่งออกหมู คิดเป็นมูลค่า 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 54,000 ล้านบาท จากกลุ่มอียู มากกว่าเกือบ 3 เท่าของเนเธอร์แลนด์และเดนมาร์ก ที่มีมูลค่า 620 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 22,320 ล้านบาท และ 550 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 19,800 ล้านบาทตามลำดับ
นักวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจหลายสำนัก มองว่า แม้การดำเนินมาตรการตอบโต้ของจีน อาจช่วยยับยั้งไม่ให้เกิดการกีดกันทางการค้าทั่วโลกได้ แต่จีนอาจเสี่ยงอันตราย หากดำเนินมาตรการตอบโต้รุนแรงเกินไป
จนอาจกระตุ้นให้เกิดแนวร่วมข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ในการต่อต้านจีนมากขึ้น นั่นอาจทำลายเป้าหมายของ “สี จิ้นผิง” ประธานาธิบดีของจีน ที่จะส่งเสริมความเป็นอิสระทางยุทธศาสตร์ (Strategic Autonomy) ในยุโรป
ขณะที่ Merics สถาบันวิจัยในกรุงเบอร์ลิน ที่เชี่ยวชาญด้านจีน ประเมินว่า มาตรการตอบโต้ของจีน จะมุ่งเป้าที่สินค้าเกษตร เช่น ชีสและเนื้อหมู โดยหลังจาก EU เริ่มสอบสวนการต่อต้านการทุ่มตลาดสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และจีนเริ่มตรวจสอบผลิตภัณฑ์สุราของยุโรป เช่น บรั่นดี ของฝรั่งเศส
หลังพบว่า ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมให้ EU ตรวจสอบรถยนต์ไฟฟ้าของจีน เป็น “ผู้ส่งออกบรั่นดีรายใหญ่” จากฝรั่งเศสนั่นเอง
ผลพวงจาก “การตอบโต้ทางการค้าระหว่างจีนและอียู” ครั้งนี้..บริษัทจดทะเบียนหนึ่งเดียวของไทย ที่จะได้ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม นั่นคือบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ที่มี “ธุรกิจหมู” ในประเทศจีน ผ่านทาง Chia Tai Investment Co., Ltd. (CTI)
ส่วนที่ว่าจะได้มากหรือน้อยแค่ไหน..ต้องจับตากันอย่างใกล้ชิดเลยทีเดียว..!??
เล็กเซียวหงส์