SCC ควรแตกพาร์หรือไม่

การแตกพาร์หรือที่เรียกเป็นทางการว่า price splitting เป็นกระบวนการที่ช่วยเพิ่มมูลค่าของผู้ถือหุ้นที่มีข้อถกเถียงกันมายาวนานในวงการหุ้น


การแตกพาร์หรือที่เรียกเป็นทางการว่า price splitting เป็นกระบวนการที่ช่วยเพิ่มมูลค่าของผู้ถือหุ้นที่มีข้อถกเถียงกันมายาวนานในวงการหุ้นว่าเป็นวิธีการที่เหมาะสมเพียงใด ด้านหนึ่งเห็นว่าเป็นการทำให้หุ้นมีสภาพคล่องมากขึ้นในตลาด  แต่อีกด้านก็โต้แย้งว่าเป็นการทำลายระดับของหุ้นชั้นดีให้กลายเป็นหุ้นไร้ค่า

แต่การแตกพาร์ของหุ้นในเครือของ PTT ทั้งหลายได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จของการแตกพาร์ตามที่มุมมองแรกสุดมองว่าราคาหุ้นที่ค่าต่ำลงอย่างไรก็ยังเป็นหุ้นคุณภาพดีคงเดิมต่อไป

กำไรสุทธิที่ฟื้นตัวอย่างช้ากว่าที่คาดทำให้ราคาของหุ้น SCC ต่ำกว่าบุ๊กแวลูถึงกว่า 30% ทำให้เป็นหุ้นที่นักวิเคราะห์ขาเชียร์ไม่มีความมั่นใจมากนักที่จะแนะนำให้ซื้อเก็บเข้าพอร์ต

ทำให้มีคำถามตามมาว่าถึงเวลาหรือยังที่จะคิดถึงการแตกพาร์จากหุ้นละ 100 บาทเป็นหุ้นละ 10 บาท เพื่อเพิ่มมูลค่าของผู้ถือหุ้นเสียที

หลังจากที่บริษัทนี้ไม่ได้ทำการปรับสภาพราคาพาร์ของหุ้นเลยแม้แต่ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งอันเลวร้ายในช่วงฟองสบู่แตกหลังปี 2540 เป็นต้นมาก็ตาม

คำถามนี้อาจจะเร็วเกินไปแต่ความเป็นไปได้นั้นก็ยังพอมีความหวังอยู่เสมอ ถ้าผู้บริหารและกรรมการบริษัทจะคิดนอกกรอบไปบ้างเพราะการสร้างมูลค่าผู้ถือหุ้นเพิ่มก็เป็นสิ่งที่สมควรกระทำและ ปตท.เคยทำนำร่องให้เห็นมาแล้วเป็นต้นแบบที่ดีว่าราคาพาร์ไม่สำคัญอะไรเลย

คิดดูก็แล้วกันว่ากรณีที่แตกพาร์จากราคาหุ้น 100 บาทลงมาเหลือ 10 บาท ราคาหุ้นของ SCC จะลดต่ำลงมาที่ราคาแถว ๆ 25 บาท ซึ่งเหมาะสำหรับนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนขนาดกลางจะช่วยกันดันราคาบุ๊กแวลูให้ยกระดับมาที่ 32 บาท ซึ่งก็ยังก็ถือเป็นราคาที่ต่ำเกินไปด้วยซ้ำ

เหตุผลที่สนับสนุนให้มีการปรับพาร์ของ SCC เกิดจากนักวิเคราะห์มองว่ากำไรสุทธิของปีนี้ฟื้นตัวช้ามาก และมีมุมมองเชิงลบมากขึ้นต่อแนวโน้มกำไรปกติของบริษัทโดยตอนนี้เชื่อว่าความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจปิโตรเคมีซึ่งเป็นธุรกิจหลักของเครือซิเมนต์ไทยจะยังคงถูกกดดันจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ (olefins spread) ที่ ทรงตัวในระดับต่ำในครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งสะท้อนอุปสงค์การใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่ตลาดคาดหมายก่อนหน้านี้

อีกทั้งอุปทานใหม่ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสำหรับธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง  เชื่อว่าจะยังคงเห็นรายได้และกำไรที่อ่อนตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนที่ผ่านมาในไตรมาสที่สองของปีนี้ ในขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจจะทำให้การใช้จ่ายของภาครัฐล่าช้าออกไป อย่างไรก็ดีนักวิเคราะห์คาดว่าโครงการ LSP Petrochemical Complex จะยังสามารถเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในเวียดนามได้ภายในไตรมาสที่สองของปีนี้ (บริษัทตั้งเป้าดำเนินการในเดือน ส.ค. 2024)

นักวิเคราะห์ได้ปรับประมาณการกำไรปกติปีนี้ลง 19% เป็น 1.67 หมื่นล้านบาทและปีหน้าลงอีก 16% เป็น 2.01 หมื่นล้านบาท หลัก ๆ เพื่อสะท้อนผลประกอบการที่อ่อนแอลง สมมติฐาน olefins spread ที่ลดลง และรายได้ของกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้างที่ต่ำลง

ถึงแม้ว่าราคาหุ้นของ SCC จะลดต่ำลงไปมากเมื่อเทียบกับดัชนี SET แต่แนวโน้มของ olefins spread ที่ทรงตัวต่ำและการประกาศการเลื่อน COD ของโครงการ LSP Petrochemical Complex ในเวียดนามออกไปก่อนหน้านี้ทำให้มุมมองนักวิเคราะห์ออกมาในเชิงลบไม่เป็นผลดีต่อราคาหุ้นในตลาดหากว่ากรรมการบริษัทไม่ดำเนินการเชิงรุกอะไร ราคาหุ้นก็จะดิ่งลงเรื่อย ๆ

การปรับราคาพาร์ใหม่น่าจะเป็นอาวุธสำคัญของกรรมการบริษัท

คิดมาอย่างนี้ก็เห็นสมควรยอมรับว่าต้องเชียร์ให้กรรมการบริษัทคิดนอกกรอบด้วยการแตกพาร์เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ผู้ถือหุ้น

วิษณุ โชลิตกุล

Back to top button