พาราสาวะถี

ไม่ต้องผูกเรื่องที่ ทักษิณ ชินวัตร ได้รับการประกันตัวจากการถูกฟ้องในความผิดมาตรา 112 แล้วโยงไปถึงประเด็นเสถียรภาพของรัฐบาล


ไม่ต้องผูกเรื่องที่ ทักษิณ ชินวัตร ได้รับการประกันตัวจากการถูกฟ้องในความผิดมาตรา 112 แล้วโยงไปถึงประเด็นเสถียรภาพของรัฐบาล และเป็นสัญญาณเตือนว่า ถึงวันโบกมือลาอย่างแท้จริงของกลุ่มอำนาจเก่า หรือพวกอนุรักษนิยมสุดโต่ง เพราะการที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาด 4 มาตรา พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 107 ก็เป็นตัวบ่งชี้แล้วว่า พวกลากตั้ง ลิ่วล้อของเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ยังเหลืออำนาจในฐานะรักษาการ ต้องเก็บของเตรียมกลับบ้านด้วยเช่นเดียวกัน

เป็นธรรมดาของอำนาจเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างต้องว่ากันไปตามกระบวนการ เพียงแต่การก้าวขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ เศรษฐา ทวีสิน และการได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย มากไปด้วยคำถาม ทั้งถูกประณามว่าตระบัดสัตย์ พลิกขั้ว และมีการวิพากษ์วิจารณ์พร้อมเชื่อว่ามีดีลลับ ข้อตกลงพิเศษจึงทำให้นายใหญ่สามารถพาพรรคของตัวเองเข้ามากุมบังเหียนบริหารประเทศได้ ในทางการเมืองของนักเลือกตั้งไม่ได้แยแสต่อกระแสเหล่านั้นแต่อย่างใด

ต้องยอมรับความจริงกันว่า ฝ่ายอนุรักษนิยมสุดโต่งได้โอกาสในการเข้ามาแสดงฝีมือแล้วเกือบ 10 ปี ภายใต้กฎหมายพิเศษ และเครื่องมือที่อำนวยความสะดวกสารพัด มิหนำซ้ำ ยังมีองค์กรทั้งหลายที่จะคอยอุ้มชู แต่ปรากฏว่าไม่สามารถที่จะนำพาประเทศให้เดินไปข้างหน้าได้ ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนนับวันมีแต่สาละวันเตี้ยลง จนคนเบื่อหน่าย เป้าหมายที่อ้างว่าเข้ามาเพื่อจะลดความเหลื่อมล้ำ กลับเป็นว่ายิ่งอยู่นานระยะห่างยิ่งถ่างกว้างมากขึ้น

เมื่อให้โอกาสได้แสดงความสามารถเต็มที่ นอกจากทำอะไรไม่ได้ ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ยังไม่สามารถที่จะสกัดกั้นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้อีกต่างหาก นั่นย่อมเป็นเหตุความชอบธรรม และเหตุผลที่บรรดาผู้ทรงอิทธิพลหรือเหล่าชนชั้นอีลิททั้งหลาย ต้องทำใจยอมรับการก้าวขึ้นมาเป็นแกนนำรัฐบาลของพรรคนายใหญ่ นั่นจึงทำให้เห็นว่า ตั้งแต่การกลับมารับโทษ รักษาตัวในโรงพยาบาล ได้รับการพักโทษ และการได้ประกันตัวในคดี ม.112 จึงไร้เสียงวิจารณ์จากพวกขาประจำที่เคยเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาโดยตลอด

จะมีก็แต่เพียงพวกเจ้าเก่าหน้าเดิมที่เต็มไปด้วยอคติ ทำใจไม่ได้กับการต้องมาทนเห็นทักษิณสามารถใช้ชีวิตปกติได้ โดยมีเพื่อไทยเป็นแกนนำในการบริหารประเทศ จึงเกิดข่าวปล่อย การเคลื่อนไหวที่ต้องการดิสเครดิตรัฐบาล ทำลายอดีตนายกฯ ทั้งที่บรรดาแกนนำที่เคยเห็นหัวโจกในการยึดทำเนียบรัฐบาล ชัตดาวน์ประเทศต่างไม่มีใครแสดงปฏิกิริยาใด ๆ รวมไปถึงเครือข่ายเป่านกหวีดทั้งหลายด้วย เพราะเข้าใจดีว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร

เมื่อชนชั้นอีลิทหนุนหลังเศรษฐาเต็มที่ หน้าฉากของการบริหารประเทศจึงต้องทำงานกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ขณะที่เบื้องหลังฝ่ายที่จะช่วยค้ำยันเสถียรภาพของรัฐนาวานั้นก็ต้องเดินเกมประสานกันตลอดเวลา เพื่อให้มั่นใจได้ว่า การมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาประชาชน และทำให้ประเทศเดินหน้าไปได้นั้น จะราบรื่น เรียบร้อย ไม่มีอะไรมาทำให้สะดุดหัวคะมำไปเสียก่อน ถึงเวลานี้ในแง่ความมั่นคงของรัฐบาลพรรคร่วมถือว่าไม่มีอะไรน่ากังวลแล้ว

คดีเศรษฐาที่รอกระบวนการวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญนั้น แทบจะชี้ไปในทางว่า “รอด” นับตั้งแต่ปรากฏชื่อของ วิษณุ เครืองาม มานั่งเป็นที่ปรึกษานายกฯ แล้ว ไม่ใช่เพราะเนติบริกรรายนี้มีอำนาจเหนือองค์กรอิสระดังว่า แต่เป็นเพราะเข้าใจเนื้อหาของข้อกฎหมายที่ถูกยื่นร้องอย่างทะลุปรุโปร่ง รู้ว่าอะไรคือหัวใจสำคัญที่จะถูกนำมาชี้ขาด เมื่อจี้จุดที่ถูกต้องก็เป็นเรื่องยากที่ฝ่ายผู้ชี้ขาดจะเห็นเป็นอย่างอื่น การตอบสังคมไม่ได้ อธิบายประชาชนไม่ถูก คงไม่มีใครกล้าที่จะทำเช่นนั้น  

หากเก้าอี้นายกฯ ของเศรษฐาแข็งแรง เท่ากับว่าความพยายามความหวังของใครบางคนที่คิดว่าน่าจะมีโอกาสได้สมหวังในตำแหน่งที่ต้องการ ก็มีอันต้องเป็นหมันตามไปด้วย และยิ่งกระบวนการเลือก สว.สามารถเดินหน้าต่อไปได้ การมี สว.ชุดใหม่มาแทนที่พวกลากตั้งจากปลายกระบอกปืน ก็เท่ากับเป็นการสิ้นสุดการมีอยู่ของขบวนการสืบทอดอำนาจอย่างสมบูรณ์ เหลือเพียงองค์กรเดียวที่คิดว่าจะช่วยได้คือ ฝ่ายที่ตรวจสอบและเอาผิดเกี่ยวกับการทุจริต ประพฤติมิชอบ

แต่นาทีนี้มีรายงานว่า ผู้มีอำนาจในองค์กรดังว่าอาจจะถึงคราวเคราะห์ ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากการอุ้มสมผู้มีบุญคุณคุ้มกะลาหัวจากคดีไปยืมของเพื่อนมาโชว์นั่นเอง การดื้อแพ่งไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลการตรวจสอบให้ผู้ยื่นร้องต่อศาล กำลังจะนำมาซึ่งภัยของคนเหล่านั้น ไม่แน่ว่าบั้นปลายของชีวิตอาจจะต้องติดคุกหัวโต มันจึงทำให้คนที่เคยเรืองอำนาจในยุคเผด็จการอยู่ยาว ทำท่าว่าจะอยู่ยาก สุดท้ายอาจจำใจต้องโบกมือลาเส้นทางสายการเมืองแบบถาวร เพราะพรรคที่นั่งเป็นหัวหน้าก็มีสภาพไม่ต่างจากหัวหลักหัวตอแต่อย่างใด

การอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 ที่สภารับหลักการวาระแรกไปเรียบร้อยแล้ว เห็นการตอบโต้กันไปมาระหว่างเพื่อไทยกับก้าวไกล ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเวทีช่วงชิงทางการเมือง พ.ศ.นี้ก็เหลือแต่คู่นี้เท่านั้นที่จะประลองกำลังกันได้สมน้ำสมเนื้อ พรรคหนึ่งได้ก้าวสู่อำนาจและหวังจะสร้างผลงานผ่านการดำเนินนโยบายต่าง ๆ โดยเฉพาะดิจิทัลวอลเล็ตที่หวังจะเป็นผลงานชิ้นโบว์แดง ดึงคะแนนนิยมกลับคืนมาได้ ส่วนแกนนำฝ่ายค้านก็ต้องทำทุกทางเพื่อจะชี้ให้เห็นว่าอีกฝ่ายไร้ฝีมือ

การเย้ยหยันจากฝ่ายค้านที่ว่า “เจ๊งกับเจ๊ง” พุ่งเป้าไปยังโครงการแจกเงินหมื่นบาท จนพรรคแกนนำรัฐบาลต้องงัดปมยุบพรรคมาโต้ เศรษฐาไม่ได้ตกใจบอกเป็นเรื่องปกติทางการเมือง เมื่อต่างฝ่ายต่างแรงใส่กันย่อมนำมาซึ่งการสร้างวาทกรรมเพื่อเอาชนะคะคานกัน แต่หน้าที่ของรัฐบาลคือเดินหน้าทำงานตามนโยบายที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ ที่น่าสนใจคงเป็นกรณี แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเข้ามาคุมเกมเองในสภาเพื่อไม่ให้ สส.ลูกพรรคสาดโคลนใส่ฝ่ายตรงข้ามจนเกินเหตุ จะทำให้เสียภาพเพื่อเรียกคะแนนจากคนรุ่นใหม่ การเมืองยุคนี้ใครเก็บอาการไม่เก่ง เล่นเกมไม่สร้างสรรค์ บอกได้อย่างเดียวว่า “หมดอนาคต”

อรชุน

Back to top button