พาราสาวะถี
วันนี้ (26 มิ.ย.67) จะได้เห็นโฉมหน้า สว.ชุดใหม่ 200 คน หลังเสร็จสิ้นการเลือกในระดับประเทศ ซึ่งใช้อิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี เป็นสถานที่เลือก
วันนี้ (26 มิถุนายน) จะได้เห็นโฉมหน้า สว.ชุดใหม่ 200 คน หลังเสร็จสิ้นการเลือกในระดับประเทศ ซึ่งใช้อิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี เป็นสถานที่เลือก ก่อนที่จะเข้าสู่โหมดการเลือก ก็เกิดเสียงวิจารณ์กันขรมต่อความไม่ชอบมาพากล จนถูกมองว่าเป็นการทุจริตก่อนการเลือกจะเกิดขึ้น ปมสำคัญอยู่ที่ผู้สมัครที่ผ่านการเลือกระดับจังหวัดมาแล้วถึง 3 พันคน มีการไปพักอยู่ในโรงแรมเดียวกันจำนวนมาก กรณีอย่างนี้ถ้าจะชี้ว่าเตรียมการโกงคงจะดูบ้องตื้นไปหน่อย
ในเมื่อสถานที่เลือกใช้แห่งเดียว ดังนั้น ผู้สมัครจำนวนมากเช่นนี้ ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องหาที่พักใกล้จุดเลือกที่สุด แน่นอนว่า ย่อมเป็นไปได้ที่โรงแรมโดยรอบบริเวณนั้น จะต้องคราคร่ำไปด้วยผู้สมัครจากทั่วประเทศ พร้อมผู้ติดตาม ถูกแล้วที่ อิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.จะบอกว่าไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ที่ใครดัดจริตบอกว่าจะมีการมาแนะนำตัว ล็อบบี้กันที่โรงแรมนั้น ถามว่าคนที่คิดจะทุจริตใครจะโง่พอที่จะมาต่อรอง ยื่นหมูยื่นแมวกัน ท่ามกลางคู่แข่งขนาดนั้น
เบาะแสเป็นอย่างที่ แสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.ว่า ได้รับกันมาหลายช่องทาง เป็นหน้าที่ของฝ่ายสืบสวนสอบสวนต้องไปดำเนินการตรวจสอบ เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัย กรณีการเข้าพักที่เดียวกันของผู้สมัคร เชื่อว่าคงไม่รอดสายตาฝ่ายตรวจสอบของ กกต. หากปรากฏหลักฐาน และมีพยานชี้ว่ามีการกระทำผิดในสถานที่ดังกล่าว ก็สมควรแล้วที่คน ๆ นั้นจะไม่ได้รับตำแหน่ง ไม่ใช่เพราะคดโกง ไม่โปร่งใส แต่คนประเภทนี้นอกจากจะ “ชั่ว” แล้วยัง “โง่” อีกต่างหาก
อย่างไรก็ตาม เห็นท่าทีของผู้บริหารและฝ่ายปฏิบัติการของ กกต.ต่อการเลือก สว.รอบนี้ ต้องยอมรับว่ามีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ที่จะให้ทุกอย่างเดินตามครรลอง ไปสู่เป้าหมายการมี สว.ชุดใหม่ให้ได้ หากทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ถือเป็นผลงานที่พอจะกู้ความเชื่อถือ ศรัทธาขององค์กรที่เสื่อมทรุดมานานให้กลับคืนมาได้บ้าง ขณะที่บรรดาพวกลากตั้งจากปลายกระบอกปืนเผด็จการ คสช. ก็ถึงเวลาต้องกลับหลุม ส่วนใครจะถูกเช็กบิลไล่หลังหรือไม่ อยู่ที่ว่าใครทำกรรมอะไรก็ต้องชดใช้สิ่งที่เคยกระทำ
ยังคงเดินหน้าฟ้องดะสำหรับ “บิ๊กโจ๊ก” พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ที่ล่าสุดขู่จะดำเนินคดีกับ เศรษฐา ทวีสิน หากไม่ยกเลิกคำสั่งให้ตัวเองออกจากราชการ แต่ดูเหมือนว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้หวั่นไหวต่อคำขู่ดังกล่าวพร้อมย้ำยึดมั่นตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ความน่าสนใจอยู่ที่เสียงเตือนของ วิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษานายกฯ ที่ส่งไปถึงคนสงขลาบ้านเดียวกัน อย่าใจร้อนไปฟ้องมั่วตั้วแบบนั้น ให้อดใจรอตามกระบวนการปกติจะเป็นผลดีมากกว่า
ในฐานะกูรูด้านกฎหมาย วิษณุมองเห็นว่าโอกาสของบิ๊กโจ๊กที่จะได้นั่งเก้าอี้ ผบ.ตร.ยังมีอยู่ พร้อมกับการได้รับการเยียวยาหลากหลายรูปแบบ แต่หากเดินหน้าด้วยวิธีการที่ทำอยู่ อาจมีการแก้เกมอย่างอื่น จนไม่ได้เป็นก็ได้ เพราะยังมีช่องกฎหมายอีกเยอะ เหมือนจะเป็นการขู่อยู่ในที แต่ถ้ามองในมุมคนที่มีความนับถือกันอยู่ อาจจะเป็นความหวังดีที่ไม่ต้องการให้เสียโอกาส เพราะช่องทางตัดสินที่จะทำให้บิ๊กโจ๊กพึงพอใจได้คือ คณะกรรมการพิทักษ์ระดับคุณธรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ก.พ.ค.ตร.
ถือเป็นการร้องที่ตรงจุด กับกรณีที่บิ๊กโจ๊กเห็นว่าการถูกให้ออกจากราชการไม่เป็นธรรม เนื่องจากข้อกฎหมายระบุชัด ถ้าใครไม่ได้รับความเป็นธรรมและความเดือดร้อนจากผู้บังคับบัญชา และร้องเรียนผู้บังคับบัญชาแล้วไม่ได้ผลก็ไปยื่นร้อง ก.พ.ค. เมื่อมีคำตัดสินออกมาอย่างไรให้ปฏิบัติตามนั้น และเวลานี้เรื่องทั้งหมดอยู่ที่ ก.พ.ค.ตร.แล้ว ทุกคนที่เกี่ยวข้องควรรอ เว้นแต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะไปแก้ไข หรือเยียวยาเอง หากทำอย่างนั้นก็ต้องทิ้งเรื่องไว้ที่ก.พ.ค.
กรณีที่จะยื่นฟ้องเศรษฐานั้น เชื่อว่าบิ๊กโจ๊กคงไม่เร่งรีบดำเนินการ เนื่องจากหากเข้าใจในกระบวนการก็จะรู้ดีว่า เวลานี้ยังไม่มีการนำเรื่องให้ออกจากราชการทูลเกล้าฯ นั่นเป็นเพราะต้องรอกระบวนการตรวจสอบโดย ก.พ.ค.ตร.ก่อน หากมีการไปฟ้องผู้ที่ถูกดำเนินคดีย่อมมีเหตุผลที่จะแก้ข้อกล่าวหาได้ ถ้าไม่รีบร้อนจนเกินไป บรรดากุนซือของบิ๊กโจ๊กต้องเข้าใจว่า กฎหมายออกแบบไว้ให้ ก.พ.ค.ตร.เป็นผู้ตัดสินปัญหา ก็ต้องใช้ช่องทางนี้ หากผลตัดสินของ ก.พ.ค.ตร.ออกมาแล้วไม่เป็นที่พอใจ ก็ไปร้องศาลปกครองได้อีก
พอจะเข้าใจได้ต่อความไม่เข้าใจของบิ๊กโจ๊กที่มีต่อการตัดสินใจของนายกฯ เมื่อมีการคืนเก้าอี้ ผบ.ตร.ให้คู่ขัดแย้งคือ “บิ๊กต่อ” พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล แล้ว ตัวเองก็ควรที่จะได้รับการปฏิบัติเช่นนั้นด้วย แต่กลับต้องรอ การยืดเยื้อออกไปฝ่ายที่ต้องรอย่อมเสียหายมากกว่า จึงไม่แปลกที่วันนี้จะมีการไปฟ้องหมิ่นประมาทต่อคณะกรรมการตรวจสอบที่เศรษฐาตั้งขึ้น ซึ่งแม้จะไม่มีการเอ่ยชื่อแต่ระบุยศก็มีเพียงแค่คนเดียวนั่นก็คือ พลตำรวจเอก วินัย ทองสอง นั่นเอง
แทบจะไม่มีสาระอะไรให้ต้องต่อยอดเสียเลยก็ว่าได้ กับกรณีที่ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ปูดเรื่องพรรคเพื่อไทยเล็งแก้รัฐธรรมนูญโละ สส.ปาร์ตี้ลิสต์ เหลือเพียงระบบเขตอย่างเดียว 500 คนเพื่อจะได้ชนะก้าวไกล พร้อมเรียกร้องให้นายกฯ และพรรคแกนนำรัฐบาลทำสัญญาประชาคมเพื่อยืนยันว่าไม่ได้เป็นเรื่องจริง เป็นแค่วิธีทางการเมืองของนักเลือกตั้งโบราณ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เศรษฐาบอกกับนักข่าวว่า ได้พูดไปแล้ว บอกไปแล้ว บอกว่าไม่ได้ทำและไม่มีความตั้งใจตรงนี้
ขณะเดียวกัน อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลก็ช่วยยืนยันอีกแรง ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ และมองว่าแก้ลำบากและแก้ไม่ได้ เพราะเวลาเลือกก็เลือกคนที่รักพรรคที่ชอบ สส.บัญชีรายชื่อ มีมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2540 ตอนนี้จะ 30 ปีแล้วซึ่งไม่เคยมีปัญหาอะไร ความจริงกรณีนี้ก็น่าจะถามคนที่สร้างประเด็นอยู่เหมือนกัน เมื่อเห็นว่า สส.ปาร์ตี้ลิสต์มีความสำคัญแล้ว ทำไมตัวเองได้เป็นแล้วถึงลาออก เท่ากับไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องมี หรือคิดว่าใครเข้าไปทำหน้าที่แทนก็ได้อย่างนั้นหรือ บางทีจะเปิดเกมเรื่องไหน ควรมองย้อนกลับไปว่าตัวเองเคยทำอะไรไว้บ้าง
อรชุน