JPARK ‘คู่ดูโอ้’ ขึ้นหุ้นใหญ่.!

ตั้งแต่ตัดสายสะดือเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2566 หุ้นให้เช่าที่จอดรถ JPARK ก็ฉายแววโดดเด่นด้านราคามาตลอด


ตั้งแต่ตัดสายสะดือเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2566 หุ้นให้เช่าที่จอดรถ บริษัท เจนก้องไกล จำกัด (มหาชน) หรือ JPARK ก็ฉายแววโดดเด่นด้านราคามาตลอด ๆ ๆ ๆ…จากราคาไอพีโอ 3.80 บาท ปัจจุบันซื้อขายกันที่ 8 บาทเศษไปแล้ว…

นั่นแปลว่า ใครที่มีหุ้นติดพอร์ต ณ ราคาไอพีโอ ก็รวยเละแล้วน่ะสิ..!!

ในมุมธุรกิจก็มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ..ได้งานใหม่ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นงานพัฒนาพื้นที่เพื่อก่อสร้างและบริหารอาคารจอดรถยนต์ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล, งานบริหารพื้นที่อาคารจอดรถให้กับสนามบินขอนแก่น และงานบริหารพื้นที่จอดรถในโครงการ One Bangkok เป็นต้น

บ่งบอกว่า JPARK ใช้เงินระดมทุนในการสร้างศักยภาพการเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง บวกกับราคาหุ้นที่ยืนเหนือจองมาตลอด ทำให้หุ้น JPARK เป็นที่หมายปองของนักลงทุน ทั้งนักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายใหญ่ และนักลงทุนรายย่อย…

แต่เนื่องจากปริมาณหุ้นมีจำกัด ในขณะที่ความต้องการสูงปรี๊ดดด เลยเป็นที่มาของบิ๊กล็อตก้อนแรก เมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2567 จำนวน 12.62 ล้านหุ้น คิดเป็น 3.156% ที่ราคาเฉลี่ย 6.35 บาท ให้กับบล.เกียรตินาคินภัทร…ซึ่งบล.เกียรตินาคินภัทร ก็คงมองเห็นผลตอบแทนที่ดีงามจาก JPARK แหละ…

แต่ไม่จบแค่นั้น มีความต้องการบิ๊กล็อตก้อนที่สองตามมาอีกจำนวน 39.9 ล้านหุ้น โดยเป็นการเข้าซื้อของนักลงทุนรายใหญ่ นำโดยคู่ดูโอ้ “หมอพงษ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี” กับ “เสี่ยสุระ คณิตทวีกุล” และพรรคพวก รวมทั้งหมด 7 ราย เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา

โดยแบ่งเป็น “หมอพงษ์ศักดิ์” ซื้อหุ้น 19.9 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.98%, “เสี่ยสุระ” ซื้อ 10 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.50%, “สุกัญญา ธรรมธัชอารี” ซื้อ 3.5 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.88%, “ไพบูลย์ ธรรมธัชอารี” ซื้อ 2.5 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.63%, “ธรรค์ ธรรมธัชอารี” ซื้อ 2 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.50%, “จักรพันธ์ อรุณศรีโสภณ” และ “พัชรี สุรเลิศรังสรรค์” ซื้อเท่ากัน คนละ 1 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.25%

บิ๊กล็อตทั้งสองก้อนไม่ได้ซื้อขายในกระดาน แต่มาจากการเจียดขายของ “สันติพล เจนวัฒนไพศาล” ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ส่งผลให้เหลือถือหุ้น 231.03 ล้านหุ้น คิดเป็น 57.76% จากเดิมถืออยู่ 283.55 ล้านหุ้น คิดเป็น 70.89%…

ในขณะที่ “หมอพงษ์ศักดิ์” จะขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ส่วน “เสี่ยสุระ” ก็จะถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 เลยนะ

ถ้าลองคำนวณเล่น ๆ…การขายบิ๊กล็อตก้อนแรก “สันติพล” น่าจะฟันกำไรไปราว 73.82 ล้านบาท เนื่องจาก “สันติพล” มีต้นทุนหุ้น JPARK เพียง 0.50 บาท (คำนวณจากราคาพาร์) ทำให้มีกำไรส่วนต่างจากราคาหุ้นครั้งนี้ 5.85 บาทต่อหุ้น

ส่วนบิ๊กล็อตก้อนที่สอง น่าเสียดายที่ไม่ได้ระบุราคาขาย…แต่ปกติการขายบิ๊กล็อตอย่างนี้จะดิสเคาต์ในกระดานราว 10% งั้นถ้าติ๊งต่างว่าบิ๊กล็อตก้อนที่สองขายที่ราคา 6.70 บาท (ดิสเคาต์ 10% จากราคาปิดเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2567 ที่ 7.45 บาท) ก็น่าจะฟันกำไรไปราว 247.38 ล้านบาทละมั้ง…

ทั้งสองก้อนรวมกันฟันกำไรไปกว่า 321 ล้านบาท เลยทีเดียว…แต่ถ้าข้อมูลคลาดเคลื่อนไป ก็ขออภัยด้วยนะเจ้าคะ

ที่น่าสนใจ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ถ้ามองในมุมของผู้ถือหุ้น ก็ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะไม่ได้มีการเพิ่มทุน ก็ไม่เกิดไดลูชั่นเอฟเฟกต์แต่อย่างใด มิหนำซ้ำในเชิงเซนติเมนต์ ด้วยชื่อชั้นของ “หมอพงษ์ศักดิ์” กับ “เสี่ยสุระ” ทำให้หุ้น JPARK สะดุ้งแรงระยะสั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่วานนี้ (25 มิ.ย.) ราคาหุ้น JPARK พุ่งปรี๊ดดดไป 16.11% ปิดตลาดที่ 8.65 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายปาไปกว่า 821.65 ล้านบาท

แต่ก็น่าคิดว่าทั้งคู่จะถือยาวแค่ไหน..?? อย่าลืมว่า “หมอพงษ์ศักดิ์” กับ “เสี่ยสุระ” เป็นนักลงทุนนะ ต้องคาดหวังผลตอบแทนเป็นอันดับแรก ฉะนั้นถ้าขายออกเมื่อไหร่..?? ก็จะเกิดอิมแพ็กในกระดานแหง ๆ…ซึ่งไม่รู้ว่าจะขายตอนไหน..??

ไม่อยากให้ถึงตอนนั้นเลย พับผ่าสิ..!!

…อิ อิ อิ…

Back to top button