พาราสาวะถี
หากไม่มีอะไรผิดพลาด วันที่ 3 กรกฎาคมนี้ กกต.น่าจะสามารถประกาศรับรองผลการเลือก สว.ทั้ง 200 คนได้ เป็นไปตามแนวทางที่วางไว้
หากไม่มีอะไรผิดพลาด วันที่ 3 กรกฎาคมนี้ กกต.น่าจะสามารถประกาศรับรองผลการเลือก สว.ทั้ง 200 คนได้ เป็นไปตามแนวทางที่วางไว้คือ รายใดที่มีเรื่องร้องเรียนต้องตรวจสอบให้ละเอียด หากมีพยาน หลักฐานชัดเจนค่อยสอยทีหลัง ใครที่หวังว่าจะมีการล้มกระดาน ทำให้กระบวนการเลือกเป็นโมฆะต้องรับประทานแห้ว เหตุที่ต้องเดินกันแบบนี้ เพราะนี่จะเป็นเครื่องหมายยืนยันว่าทั้งข้อกฎหมาย และการดำเนินการเกี่ยวกับการเลือก สว.ทั้งหมดของ กกต.ถูกต้อง โปร่งใสทุกประการ
สำหรับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่อผลที่ออกมาถือเป็นเรื่องปกติ จากที่ถูกมองกันว่าพรรคเพื่อไทยจะกลายเป็นตำบลกระสุนตกจากการเลือกสมาชิกสภาสูงเที่ยวนี้ กลับตรงกันข้าม ผลจากที่ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ หลุดวงโคจรในรอบเลือกไขว้สาย ทำให้จากที่ถูกจับตามองว่าจะเข้าไปยึดครองสภาสูงเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับรัฐบาล กลับทำให้เห็นว่าแท้จริงแล้ว ไม่ได้มีการตระเตรียม หรือวางแผน บงการต่อการเลือก สว.แต่อย่างใด
ที่ต้องรับแรงกระแทกกลายเป็นภูมิใจไทยของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล แทน จนถูกค่อนขอดกันว่า สว.รอบนี้เป็นพวกสายสีน้ำเงิน เหตุผลที่ทำให้คนคิดและมองเช่นนั้น มาจากการสแกนรายชื่อทั้งหมดแล้ว พบว่ามีว่าที่ สว.จากจังหวัดบุรีรัมย์ได้รับเลือกเข้ามาถึง 14 คนมากที่สุด รองลงมาคือ กทม. 9 คน ขณะที่ 13 จังหวัดไม่มี สว.ที่ผ่านการเลือก ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการข้ามช็อตไปถึงตัวประธานวุฒิสภาที่ว่ากันว่ามีสายสัมพันธ์อันดีกับพรรคสีน้ำเงิน
นั่นก็คือ “บิ๊กเกรียง” พลเอก เกรียงไกร ศรีรักษ์ อดีตผู้ช่วย ผบ.ทบ.และอดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ที่ได้รับคะแนนมาเป็นอันดับ 1 ในผู้สมัคร สว.กลุ่มบริหารราชการแผ่นดินและความมั่นคง กลุ่มเดียวกับสมชายนั่นเอง คงจะปฏิเสธว่าไม่รู้จักคงไม่ได้ เพราะเจ้าตัวเป็นเพื่อนร่วมรุ่น วปอ.61 ของเสี่ยหนู โดยที่หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยก็ยอมรับเองว่า “เพื่อนก็คือเพื่อน” แต่ตนจะไปยุ่งเกี่ยวอะไรได้ พลเอก เกรียงไกรไปสมัคร สว.ที่สุราษฎร์ธานี แต่ภรรยาตนอยู่ระนอง เป็นธรรมดาสายสัมพันธ์ทางการเมืองมันเป็นเรื่องที่ต้องมีกันอยู่แล้ว
อีกรายหากไม่อยากให้ติดภาพว่าวุฒิสภาอยู่ใต้อาณัติของคนมีสี อาจจะมีการดัน มงคล สุระสัจจะ อดีตอธิบดีกรมการปกครอง ผู้ได้รับการเลือกมาจากกลุ่มบริหารราชการแผ่นดินและความมั่นคงเช่นกัน โดยผ่านการเลือกระดับจังหวัดมาจากบุรีรัมย์ รายนี้ถือเป็นสายตรง เนวิน ชิดชอบ อาจารย์ใหญ่ของพรรคสีน้ำเงิน เก้าอี้ประมุขสภาสูงนั้นว่ากันว่า ไม่น่าจะหลุดไปจากสองคนนี้ หากใครคนหนึ่งได้เป็น อีกคนก็จะเป็นรองประธานวุฒิสภาไป
คงโทษอะไรไม่ได้ ในเมื่อกติกาถูกออกแบบมาเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็น สว.จากบ้านใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบล็อกโหวต ทั้งหมดนี้ไม่มีผลการเชื่อมโยงถึงเครือข่ายการเมืองระดับชาติโดยเฉพาะฝ่ายที่กุมอำนาจ แต่ด้วยความที่กระบวนการไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน มันจึงทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสนใจ ไม่อยากจะมีส่วนร่วม พูดให้ชัดคือ สว.ไม่ใช่ที่พึ่งหรือประชาชนสามารถฝากผีฝากไข้ได้ จึงอยู่ที่ว่า 200 คนที่ผ่านการเลือกมาแล้ว จะสร้างผลงานให้เป็นที่ยอมรับได้หรือไม่
ความจริงสิ่งที่เกิดขึ้น มันก็มาจากน้ำมือของพวกคนดีที่สถาปนา ยกหางกันเองนั่นแหละ อ้างว่าต้องการให้สภาสูงปราศจากการครอบงำ หรือเอื้อประโยชน์ให้ครอบครัว ญาติพี่น้อง แต่มองไปยังพวกลากตั้งที่กำลังจะม้วนเสื่อกลับบ้าน ล้วนแต่ทำทุกทางน่าเกลียดกว่านักเลือกตั้งที่ถูกโจมตี กล่าวหาก่อนการรัฐประหารของเผด็จการ คสช.เสียด้วยซ้ำ เมื่อก้าวไม่พ้นผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง จึงไม่ต้องไปพูดถึงการเป็นที่พึ่งที่หวังของประชาชนแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม การที่ภาพของการเมืองสภาสูงออกมาเช่นนี้ จึงทำให้การเมืองของนักเลือกตั้งโดยเฉพาะกับฝ่ายบริหารอย่างรัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน และคณะโล่งอก สบายใจกันเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุผลที่ว่าการเมืองก็คือการเมือง หากไม่มีการเหยียบตาปลา ขัดผลประโยชน์ระหว่างกัน จะทำให้สามารถที่จะประคับประคองให้เดินหน้ากันต่อไป มองไปถึงการอยู่แบบครบเทอม แต่มีโจทย์ใหญ่ที่ต้องทำให้สำเร็จก่อนนั่นก็คือ ช่วยผลักดันดิจิทัลวอลเล็ตของเพื่อไทยให้เป็นไปตามไทม์ไลน์ที่วางไว้
ล่าสุด เศรษฐาได้ย้ำกันคนศรีสะเกษในระหว่างการลงพื้นที่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ปลายปีนี้ได้เงินหมื่นบาทแน่นอน ทั้งที่เวลานี้งบกลาง 150,000 ล้านบาทยังถูกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 2568 แขวนไว้อยู่ ดังนั้น การประกาศอย่างมั่นใจเช่นนี้ จึงทำให้เข้าใจได้ว่า ที่ทำให้เป็นข่าวชวนลุ้นกันนั้น มันก็แค่ท่วงท่าทางการเมือง ที่ฝ่ายค้านต้องได้แสดงบทบาทให้ฝ่ายหนุนได้พึงพอใจ แต่สุดท้าย หลังจากที่กระทรวงการคลังเจ้าภาพหลักโดยปลัดกระทรวงได้มาชี้แจง ทุกอย่างก็จะผ่านพ้นไปด้วยดี
สัญญาณความเรียบร้อยในการทำงานระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลนั้น ทักษิณ ชินวัตร การันตีเศรษฐาสามารถพูดคุยกับทุกพรรครู้เรื่อง เข้าใจกับทุกคน เน้นไปที่สายสัมพันธ์ส่วนตัวในระดับนำของพรรคร่วมนั้น ไม่ใช่เพียงแต่จะสนิทแนบแน่นกับนายใหญ่เท่านั้น ยังรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดีกับนายกฯ ด้วย จึงทำให้การประสานงานไร้รอยต่อ กระแสข่าวที่ถูกปล่อยเรื่องการเขี่ยพรรคใดพรรคหนึ่งพ้นเส้นทาง จึงเป็นการกระทำของพวกไม่หวังดี ที่หวังเสี้ยมเพื่อให้เกิดรอยร้าว สร้างแรงกระเพื่อมนั่นเอง
ส่วนประเด็นที่ว่านายใหญ่เสื่อมมนต์ขลัง ไม่สามารถกระตุ้นให้พรรคแกนนำรัฐบาลสร้างผลงานให้เป็นที่ยอมรับได้เหมือนในอดีตนั้น ด้านหนึ่งอาจจะเป็นอย่างที่เจ้าตัวยอมรับ อายุมากแล้ว แค่คนแก่คนหนึ่ง ไม่มีมนต์ขลังอะไร ภายใต้สถานการณ์การเมือง และสภาพปัญหา รวมถึงวิธีคิด และกระบวนการแก้ไขที่เปลี่ยนไปจากอดีตอย่างมาก แต่อย่าลืมเป็นอันขาดตราบใดที่ยังมีเวลา มีอำนาจ ย่อมสามารถที่จะขับเคลื่อน ผลักดันสิ่งที่จะเรียกคะแนนนิยมจากประชาชนได้อยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เวลานี้ต้องเร่งสกัดทุกปัญหาที่จะสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลให้เรียบร้อยก่อน คนเดินเกมต่อรองทุกทางจึงเป็นบทบาทหลักของทักษิณ
อรชุน