‘เสี่ยเจริญ’ ปิดฝา ‘เสริมสุข’
น่าแปลกประหลาด..!! จู่ ๆ ก็เกิดปรากฏการณ์หุ้น บมจ.เสริมสุข หรือ SSC วิ่งสู้ฟัดมาหลายวันต่อเนื่อง ซึ่งมันผิดวิสัยหุ้นสภาพคล่องต่ำ
น่าแปลกประหลาด..!! จู่ ๆ ก็เกิดปรากฏการณ์หุ้นบริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) หรือ SSC วิ่งสู้ฟัดมาหลายวันต่อเนื่อง ซึ่งมันผิดวิสัยหุ้นสภาพคล่องต่ำ จากปกติในแต่ละวันแทบไม่มีวอลุ่มการซื้อขาย ส่วนราคาก็ป้วนเปี้ยนอยู่แถว 30 บาทเศษ ๆ มานานโข แต่เผลอแป๊บเดียวราคากระโดดไปไกลแล้ว
มันชวนให้สงสัยว่า ช่วงนี้ SSC ไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหน…ทำไมราคาถึงได้แรงเว่อร์เบอร์นี้..??
สุดท้ายมาถึงบางอ้อ…เมื่อบริษัท โซ วอเตอร์ จำกัด ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่ง สัดส่วน 64.67% ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือไทยเบฟ ของ “เสี่ยเจริญ สิริวัฒนภักดี” ประกาศตั้งโต๊ะเทนเดอร์ฯ หุ้นที่เหลือทั้งหมดจำนวน 93.95 ล้านหุ้น คิดเป็น 35.33% ที่ราคาหุ้นละ 63 บาท
เป้าหมายชัดเจน…เพื่อเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ..!!
ที่น่าสนใจ…ราคาเทนเดอร์ฯ ที่ 63 บาทต่อหุ้น เป็นราคาที่สูงปรี๊ดดดจากกระดานในวันที่ 3 ก.ค. 2567 (เป็นวันที่ประกาศตั้งโต๊ะเทนเดอร์ฯ) โดยปิดตลาดที่ 49.25 บาท
แหม๊…ให้ราคาพรีเมียมขนาดนี้ ต้องบอกว่า “เสี่ยเจริญ” จัดหนัก…จัดเต็มนะเนี่ย..!?
ส่วนคนที่จะขายหุ้น ถ้าดูจากโครงสร้างผู้ถือหุ้น มีตั้งแต่อันดับ 2 เป็นบริษัท เอสเอส เนชั่นแนล โลจิสติกส์ จำกัด ถือหุ้นจำนวน 53.50 ล้านหุ้น คิดเป็น 20.12%, อันดับ 3 เป็น DBS BANK LTD. AC DBS NOMINEES-PB CLIENTS ถือ 12.50 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.70%, อันดับ 4 เป็น BANK OF SINGAPORE LIMITED-THB SEG AC ถือ 10.80 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.06%
ขณะที่ UOB KAY HIAN (HONG KONG) LIMITED-Client Account ถือหุ้นอันดับ 5 จำนวน 7.20 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.71% ส่วนอันดับ 6 เป็นบริษัท เพรสทีจ 2015 จำกัด จำนวน 2.92 ล้านหุ้น คิดเป็น 1.10%, อันดับ 7 “ดวงแก้ว ตระกูลพิพัฒน์” ถือ 576,000 หุ้น คิดเป็น 0.22%
อันดับ 8 เป็น “ร้อยเอก ณรงค์ ภัทรเลาหะ” ถือจำนวน 508,000 หุ้น คิดเป็น 0.19%, อันดับ 9 เป็น “นันทนา แย้มมนัส” จำนวน 274,400 หุ้น คิดเป็น 0.10% และอันดับ 10 “เทวัญ ตันติจัตตานนท์” ถือจำนวน 216,000 หุ้น คิดเป็น 0.08%
ส่วนนักลงทุนรายย่อย เท่าที่ปรากฏข้อมูลตอนนี้ มีราว 790 คนเท่านั้น
หลายคนอาจมีคำถามว่า เหตุใด “เสี่ยเจริญ” ต้องเอา SSC ออกจากตลาดฯ ด้วยล่ะ..??
ถ้าให้วิเคราะห์ น่าจะมีหลายเหตุผล 1)ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือทางการเงินในตลาดทุนแล้ว เนื่องจากผู้ถือหุ้นใหญ่มีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว ส่วนตัวบริษัทเองเงินสดก็มีไม่น้อย โดย ณ วันที่ 31 มี.ค. 2567 มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดอยู่ที่ 2,239.47 ล้านบาท และมีกำไรสะสมยังไม่ได้จัดสรรอยู่ที่ 1,593.06 ล้านบาท
และ 2)ด้วยเงื่อนไขของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ต้องแจ้งทุกความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวกับบริษัท ทำให้ไม่มีความคล่องตัว ผู้ถือหุ้นใหญ่คงมองว่า งั้นเอาออกจากตลาดไปเลยดีกว่าละมั้ง..??
ส่วนถ้าให้ย้อนแบ็กกราวด์ของ SSC ถือเป็นหุ้นยุคแรก ๆ ของตลาดหลักทรัพย์ฯ (เข้า 16 มิ.ย. 2518) ที่มีเรื่องราวให้กล่าวขาน…ถ้าจำกันได้ เสริมสุขกับเป๊ปซี่เคยเป็นพันธมิตรกัน ซึ่งเสริมสุขได้รับสิทธิในการผลิตและจำหน่ายเป๊ปซี่ในประเทศไทยเพียงผู้เดียว แต่ต่อมาเสริมสุขเริ่มรู้สึกถูกเอารัดเอาเปรียบจากการซื้อ “หัวเชื้อ” ที่มีราคาแพงขึ้นทุกปี ในขณะที่ไม่สามารถปรับราคาขายเป๊ปซี่ได้ นำมาสู่ความขัดแย้งทางธุรกิจ มีการเปิดศึกแย่งชิงหุ้นในตลาดฯ โดยกลุ่มแป๊ปซี่ได้เสนอตั้งโต๊ะเทนเดอร์ฯ หุ้น SSC แต่ไม่สำเร็จ…
ฟาก “ตระกูลบุลสุข” ซึ่งเป็นทั้งผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นใหญ่ในขณะนั้น ไม่ยอมแพ้ พยายามรวบรวมหุ้นในมือให้ได้มากที่สุด และมีการชิงไหวชิงพริบกันไปมา ต่อมา “ตระกูลบุลสุข” ได้ไปชักชวนบริษัท เอสเอส เนชั่นแนล โลจิสติกส์ จำกัด มาร่วมสู้ศึกกับเป๊ปซี่
สงครามการแย่งชิงหุ้น SSC ดำเนินไปพักใหญ่ สุดท้าย “ตาอยู่” อย่างไทยเบฟของ “เสี่ยเจริญ” ก็คว้าพุงปลา อุ๊ย…SSC ไปครอง ผ่านการชักชวนของบริษัท เอสเอส เนชั่นแนล โลจิสติกส์ โดยปัจจุบันเสริมสุขก็หันมาปั้นแบรนด์ “เอส โคล่า” แทน…
ส่วนสาเหตุที่ไทยเบฟโดดมาปิดเกมนี้ เพราะอยากได้คลังสินค้า และเครือข่ายร้านค้าโชว์ห่วยที่มีตามตรอกซอกซอยทั่วประเทศไทย ของเสริมสุข เพื่อนำไปต่อยอดธุรกิจในกลุ่มนั่นเอง
โอเค…สงครามการแย่งชิงหุ้น SSC ปิดฉากไปนานแล้ว…
มาวันนี้ถึงเวลาที่กลุ่มไทยเบฟจะปิดตำนานร่วม 5 ทศวรรษหุ้น SSC กับตลาดทุนแล้วล่ะ..!!
…อิ อิ อิ…