Uptick แผลงฤทธิ์ฟาดชอร์ตเซลอยู่หมัด

ผลจากการที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เริ่มใช้มาตรการยกระดับความเชื่อมั่นเพิ่มเติม


เส้นทางนักลงทุน

ผลจากการที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เริ่มใช้มาตรการยกระดับความเชื่อมั่นเพิ่มเติม โดยกำหนดว่านับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป การขายชอร์ต (Short Sell) จะทำได้ที่ราคาสูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย (Uptick Rule) จากเดิมให้ขายชอร์ตได้ที่ราคาเท่ากับ หรือสูงกว่า (Zero-plus Tick)

ส่งผลให้ในวันดังกล่าวซึ่งเป็นวันแรกของการใช้มาตรการ ปริมาณการทำธุรกรรม Short Sell ลดลงไปมาก โดยมูลค่ารวมเหลือเพียง 1,195.83 ล้านบาท คิดเป็น 3.73% เมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งตลาด

หุ้นที่มีมูลค่าการทำ Short Sell มากที่สุดในวันนั้น เช่น AOT มีมูลค่ารวม 89.23 ล้านบาท, DELTA มีมูลค่ารวม 76.04 ล้านบาท, KTB มีมูลค่ารวม 57.03 ล้านบาท, COM7 มีมูลค่ารวม 49.03 ล้านบาท

BBL มีมูลค่ารวม 46.40 ล้านบาท, HMPRO มีมูลค่ารวม 44.33 ล้านบาท, TISCO มีมูลค่ารวม 41.56 ล้านบาท, EA มีมูลค่ารวม 30.71 ล้านบาท และ ADVANC มีมูลค่ารวม 26.41 ล้านบาท

ในช่วงก่อนหน้าที่มาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้ 1 สัปดาห์ มูลค่าการทำ Short Sell จะอยู่ระหว่าง 4,000 ล้านบาท ถึงมากกว่า 6,000 ล้านบาทต่อวัน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ถึงกว่า 12% ต่อวัน ถ้ามองไปไกลกว่านั้น ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ค่าเฉลี่ยของการทำ Short Sell จะอยู่ที่ 11.40% เมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งตลาด

ตัวอย่างนี้เคยมีให้เห็นในช่วงเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 เมื่อปี 2563 มีการนำกฎ Uptick มาใช้ พบว่ามูลค่า Short Sell ลดลง จาก 3,992 ล้านบาทต่อวัน หรือสัดส่วน 5.97% ของมูลค่าซื้อขายรวมต่อวัน เหลือเพียง 700 ถึง 850 ล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วนการทำ Short Sell ลดเหลือเพียง 1.23% ของมูลค่าซื้อขายรวมต่อวัน

ข้อมูลนี้สะท้อนว่า Uptick มีส่วนสกัดกั้นทำให้ธุรกรรม Short Sell ซึ่งถูกมองว่าเป็นหนึ่งในตัววายร้ายทุบตลาดหุ้นไทยมีปริมาณลดลง ดังนั้นมูลค่าการขายชอร์ตจึงลดลงด้วย

ผลของการใช้ Uptick วันแรก สิ่งที่ได้เห็นคือ มูลค่าซื้อขายรวมของตลาดหุ้นไทยลดน้อยลง โดยเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 หดตัวมาที่ 2.98 หมื่นล้านบาท ต่ำสุดในรอบ 1-2 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่สัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติน้อยลง เหลือ 44% จาก 55%

การใช้ Uptick วันแรก ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ก็ยังหลุด 1,300 จุดอีกครั้ง มาอยู่ที่ 1,299.35 จุด ลดลง 1.61 จุด หรือ 0.12% แม้นักลงทุนต่างชาติจะกลับลำมาซื้อสุทธิ 337 ล้านบาท เป็นครั้งแรกหลังจากขายมา 27 วันติดต่อกัน รวม 5.16 หมื่นล้านบาท และหากนับตั้งแต่ต้นปี นักลงทุนกลุ่มนี้ขายหุ้นไทยทิ้งไปแล้ว 1.17 แสนล้านบาท

สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะตลาดหุ้นไทยยังไม่มีปัจจัยใหม่ ๆ มาหนุน แถมนักลงทุนยังรอลุ้นการเมืองในประเทศ เนื่องจากในวันที่ 3 กรกฎาคมจะมีการพิจารณาคดียุบพรรคก้าวไกล จากนั้นในวันที่ 18 กรกฎาคม จะตามมาอีก 2 คดีใหญ่ คือ คดีของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน และคดี ม.112 ของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ดังนั้นการเมืองจึงยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นอยู่

ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ฯ เชื่อว่าเมื่อนำ Uptick มาใช้แล้ว ผลสะท้อนของ Uptick จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนไทยได้ โดยคาดหวังว่าหากความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทยฟื้นคืนมา นักลงทุนก็จะหวนกลับมาซื้อขายหุ้นอีกครั้ง

แต่คงต้องใช้เวลาซักระยะ ดังนั้นผลกระทบต่อมูลค่าการซื้อขายในช่วงนี้อาจจะเบาบางลงไปบ้าง แต่จะส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายจะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ความคาดหวังนี้เป็นประเด็นที่ยังต้องรอการพิสูจน์

อย่างไรก็ตาม บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ ประเมินว่า ผลของ Uptick จะทำให้ SET Index ในช่วงที่เหลือของปีนี้แกว่งตัวอยู่ในระดับ 1,240-1,270 จุด ขณะที่มูลค่าการซื้อขายจะเบาบางลง โดยในเดือนกรกฎาคมนี้จะมีแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,340 จุด และ 1,370 จุด

ส่วน Uptick จะเป็นการไล่นักลงทุนต่างชาติออกจากตลาดหุ้นไทยหรือไม่ ??? เนื่องจากตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ใช้ Zero Tick กันทั้งนั้น ก็ต้องรอติดตามผลกันต่อไป

Back to top button