YGG บทเรียนราคาแพง.!

กลายเป็น Hot Issue ในแวดวงตลาดทุนที่ว่าด้วยเรื่อง “บัญชีมาจิ้น” และ “ฟอร์ซเซล” เพราะไม่ว่าไปตรงไหน ก็มีแต่คนหยิบยกประเด็นดังกล่าวมาวิพากษ์วิจารณ์กันสนุกปาก


กลายเป็น Hot Issue ในแวดวงตลาดทุนที่ว่าด้วยเรื่อง “บัญชีมาร์จิ้น” และ “ฟอร์ซเซล”…เพราะไม่ว่าไปตรงไหน ก็มีแต่คนหยิบยกประเด็นดังกล่าวมาวิพากษ์วิจารณ์กันสนุกปาก…เรื่องของเรื่องก็เกิดจากการที่ผู้ถือหุ้นใหญ่เอาหุ้นของตัวเองไปตึ๊ง หรือเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเพื่อขอบัญชีมาร์จิ้นกับบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) เพื่อนำเงินมาใช้ในการลงทุน หรือใช้ส่วนตัว ก็ว่ากันไป…

บัญชีมาร์จิ้นจะไม่เป็นปัญหาเลย ถ้าตลาดเป็นช่วงขาขึ้น แต่พอตลาดเป็นขาลงปุ๊บ ราคาหุ้นปรับตัวลงฮวบ ๆ ทำให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ไปขอบัญชีมาร์จิ้นจากโบรกเกอร์ต้องหาหลักทรัพย์มาเติม…หากหาหลักทรัพย์มาเติมไม่ได้ จะถูกบังคับขาย หรือฟอร์ซเซลนั่นเอง

ที่จริงประเด็นนี้เริ่มส่อเค้าลางมาตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา จากกรณี “ชูเกียรติ รุจนพรพจี” กับบริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SABUY ที่ราคาหุ้น SABUY ลงมาลึกสุดใจ…จนถูกบังคับขาย หรือฟอร์ซเซล ตกจากทำเนียบผู้ถือหุ้นใหญ่ไปเรียบร้อยโรงเรียนจีน…

ไม่จบแค่นั้น ยังมีกรณี “คณิสสร์ ศรีวชิระประภา” หรือชื่อเดิม Lin Kenuo (หลิน เข่อนัว) กับบริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX ก็เฉกเช่นเดียวกัน จากเดิม หลิน เข่อนัว เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสอง ถือหุ้นจำนวน 294.55 ล้านหุ้น คิดเป็น 14.57% ก็ถูกฟอร์ซเซล จนปัจจุบันเหลือถือหุ้นแค่ 10 ล้านหุ้นเท่านั้น ไม่ติดทำเนียบผู้ถือหุ้น 20 อันดับแรกแล้ว…

ด้าน “แดน ปฐมวาณิชย์” กับบริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF หลังจากเกิดปรากฏการณ์หุ้น NRF รูด 3 วัน 3 ฟลอร์ติดต่อกัน ก็ทำให้ “แดน” ถูกฟอร์ซเซล และขายบิ๊กล็อตให้คนบางกลุ่มฯ ส่งผลให้จากเดิมถือหุ้นทั้งในนามส่วนตัวและนิติบุคคลรวมกันจำนวน 917.80 ล้านหุ้น คิดเป็น 64.73% ตอนนี้เหลือถือหุ้น 618.69 ล้านหุ้น คิดเป็น 45.97%

และล่าสุดสด ๆ ร้อน ๆ ก็กรณี “ธนัช จุวิวัฒน์” กับบริษัท อิ๊กดราซิล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ YGG ที่รายงานการขายหุ้น 3 รายการด้วยกัน เริ่มจากวันที่ 2 ก.ค. 2567 ขายจำนวน 7.16 ล้านหุ้น คิดเป็น 1.19% ถัดมาวันที่ 3 ก.ค. 2567 ขายจำนวน 11.15 ล้านหุ้น คิดเป็น 1.85% และวันที่ 4 ก.ค. 2567 ขายจำนวน 203.56 ล้านหุ้น คิดเป็น 33.82%

ส่งผลให้เหลือถือหุ้น 25.80 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.286% จากเดิมถือหุ้น 247.68 ล้านหุ้น คิดเป็น 41.143%

เท่ากับว่า “ธนัช” ขายหุ้นไปทั้งสิ้น 221.89 ล้านหุ้น คิดเป็น 36.857%…ขายเกือบเกลี้ยงเลยนะเนี่ย

มิน่าล่ะ ถึงเห็นหุ้น YGG รูดติดฟลอร์ไป 2 วันซ้อน ในวันที่ 2 ก.ค. 2567 และ 3 ก.ค. 2567

โอเค…แม้ไม่ได้ระบุชัดว่าการขายหุ้นดังกล่าวถูกบังคับขาย หรือฟอร์ซเซลหรือเปล่า..?? แต่นักลงทุนไม่ได้โง่นะ…คงดูออกแหละ…

หรือถ้าเป็นการขายหุ้นปกติ…ก็น่าคิด การที่ “ธนัช” ซึ่งเป็นทั้งผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหารมาขายหุ้นเอาช่วงเวลานี้ ใกล้ที่จะแจ้งงบงวดไตรมาส 2/2567 จะเข้าข่ายอินไซเดอร์หรือเปล่า..?? อันนี้ก็ไม่รู้สินะ

ผู้บริหารขายหุ้นไม่พอ…ยังมีกรณีประธานกรรมการบริหารฝ่ายการเงิน (CFO) ยื่นจดหมายลาออกก่อนปิดงบงวดไตรมาส 2/2567 เพียงแค่ 2 วันซ้ำเติมอีก…มันชวนให้คิดไปกันใหญ่ว่า ต้องมีอะไรในกอไผ่แหง ๆ..??

ส่วนจะเป็นอะไรนั้น…หนูไม่รู้…แต่เชื่อว่าอีกประเดี๋ยวก็คงรู้แหละ

กรณีบัญชีมาร์จิ้น ก็ถือเป็นบทเรียนราคาแพงระยับสำหรับหุ้นหลาย ๆ ตัว ที่ผู้ถือหุ้นใหญ่เอาหุ้นไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน โดยเฉพาะหุ้นที่มีบัญชีมาร์จิ้นสูงเกิน 50% จะมีความเสี่ยงสูง พอมีปัญหาก็มีโอกาสจะสูญเสียความเป็นเจ้าของโดยไม่ทันตั้งตัว…ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่ทนโท่…งั้นใครที่รู้ตัวว่าเสี่ยง ก็ควรพึงระวังไว้…เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน..!!

กลับมาที่ YGG การที่ “ธนัช” ขายหุ้นออกมา ไม่ว่าจะด้วยถูกฟอร์ซเซล หรือเหตุผลอะไรก็ตาม แต่วันนี้ YGG ถูกเปลี่ยนมือไปแล้ว..!?

ว่าแต่ใครเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่คนใหม่กันนะ…ชักอยากรู้แล้วสิ..??

แต่อย่าลืมว่า ธุรกิจเกมและแอนิเมชัน เป็นธุรกิจเฉพาะทาง ต้องใช้ไอเดียและโนว์ฮาว…ไม่ใช่ใคร ๆ ก็จะทำได้นะ

ก็น่าติดตาม YGG ในมือกลุ่มทุนใหม่จะไปยังไงต่อ..??

จะ “ปัง” หรือ “พัง”..!?

…อิ อิ อิ…

Back to top button