พาราสาวะถี

สภาพของพวกลากตั้งปัจจุบัน อาจเรียกว่าอยู่ในสถานการณ์เวลาหมด แต่ยังไม่หมดเวลา มีการทดเวลาบาดเจ็บจากการยังไม่ประกาศรับรองผลการเลือก สว.ชุดใหม่


สภาพของพวกลากตั้งปัจจุบัน อาจเรียกว่าอยู่ในสถานการณ์เวลาหมด แต่ยังไม่หมดเวลา มีการทดเวลาบาดเจ็บจากการยังไม่ประกาศรับรองผลการเลือก สว.ชุดใหม่ของ กกต. ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะนานแค่ไหน แต่ไม่ว่าจะอย่างไร กรรมการก็ต้องเป่านกหวีดหมดเวลา นั่นหมายความว่า เรื่องการประชุมของพวกลากตั้ง โดยเฉพาะการพิจารณาญัตติของ สมชาย แสวงการ ที่ให้ถอดบทเรียนการเลือก สว.ที่ผ่านไป จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรกระทำ

การอ้างว่าเมื่อยังไม่มี สว.ชุดใหม่ ชุดเก่าก็ควรทำงานต่อไปจนกว่าจะมีการประกาศรับรอง ทว่ากระบวนการทำงานนั้น ควรจะเป็นการทำงานในเรื่องที่ไม่ต้องมีกรอบเวลามาเกี่ยวข้อง กรณีญัตติของสมชายที่เสนอให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาพิจารณานั้น จึงไม่น่าจะใช่ เพราะการจะถอดบทเรียนมันต้องใช้เวลา เมื่อขณะนี้เวลาหมดแล้ว เหลือเพียงแค่เวลาที่ทดออกไป จึงต้องย้ำว่า จะทำไปเพื่ออะไร สิ่งสำคัญคือ ไม่ควรจะไปยุ่งเกี่ยวกับอำนาจของ กกต.

กรณีนี้ เสรี สุวรรณภานนท์ ได้ยกข้อกฎหมายมาเตือนสติว่า ถ้าดูจากวาระหน้าที่ของ สว.ก็คือ ไม่ควรที่จะเข้าไปพิจารณาเรื่องใดก็ตามที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรอิสระซึ่งคือ กกต. เพราะขัดต่อกฎหมายมาตรา 58 มาตรา 76 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. และรัฐธรรมนูญมาตรา 129 วรรคสี่ ซึ่งเป็นตัวบทกฎหมายที่ไม่ให้ สว.เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการใช้อำนาจหน้าที่ขององค์กรอิสระ ดังนั้น จึงต้องให้ กกต.มีความเป็นอิสระในการทำหน้าที่

ความจริงเรื่องนี้พูดง่าย ๆ หากมีมารยาท พวกลากตั้งไม่ควรจะไปแตะ และจะเป็นการสร้างความขัดแย้งระหว่าง สว.ชุดใหม่กับชุดเก่าโดยไม่จำเป็น อ่านท่าทีของพวกลากตั้งส่วนใหญ่แล้ว อยากจะโบกมือลากันเต็มแก่ แต่ก็มีบางคนบางพวกที่ยังไม่อยากทิ้งหัวโขน หรือต้องขอมีพื้นที่สื่อเพื่อที่ตัวเองยังจะอยู่ในความสนใจต่อไป ไม่ว่ากันแต่ไม่ควรจะแอ็กชันล้ำเส้น ด้วยเหตุนี้จึงน่าจะเป็นเหตุผลให้ กกต.รีบดำเนินการประกาศรับรองผล เพื่อที่จะไม่ให้ภาพความขัดแย้งจากเรื่องนี้ขยายวงไปกว้างมากกว่าที่เป็นอยู่

แนวโน้มของกระบวนการตรวจสอบ เพื่อนำไปสู่การรับรองว่าที่ สว. 200 คนพร้อมบัญชีรายชื่อสำรอง 100 ราย จึงน่าจะมีข้อยุติกันภายในสัปดาห์นี้ เหตุที่ไม่ยืดเยื้อ ลากยาวเหมือนการเลือกตั้ง สส. นั่นเป็นเพราะ วิธีการเลือก เรื่องที่ร้องเรียน ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน มากไปกว่านั้นคือ ไม่มีแรงกดดันจากผู้มีอำนาจคุ้มกะลาหัวมาทำให้หนักใจ ทุกอย่างจึงสามารถที่จะให้การรับรองไปก่อน แล้วตามสอยทีหลังได้ โดยรายชื่อผู้ที่อยู่ในข่ายจะถูกเขี่ยตกจากสวรรค์นั้นมีไม่มากเหมือนเรื่องที่มีการร้องเรียน

หากมีการสอยว่าที่ สว.จำนวนมาก มันจะย้อนกลับมาเป็นตัวชี้วัดว่า การบริหารจัดการว่าด้วยการเลือกของ กกต.นั้น ไร้ประสิทธิภาพ เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่มีการเลือกตามรัฐธรรมนูญฉบับสืบทอดอำนาจ เมื่อกลไกต่าง ๆ ยังไม่พร้อมเต็มที่ มีข้อผิดพลาดอยู่หลายประการ ทางลงที่ดีที่สุดคือ ยกประโยชน์ให้จำเลย เว้นแต่พวกที่มีหลักฐานชัดว่าเกิดการฮั้ว หรือบล็อกโหวต ตรงนี้จำเป็นต้องลงดาบ แต่โดยภาพรวมส่วนใหญ่จะผ่านการรับรอง

การมี สว.ชุดใหม่ พร้อมกับการจากไปของพวกลากตั้ง อีกด้านมันก็เหมือนการทำให้ความหวังของใครบางคนที่อยากจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำประเทศสักครั้งในชีวิต มีอันต้องจบสิ้นลงไปด้วย ความจริงควรจะต้องทำใจยอมรับนับตั้งแต่รู้ผลการเลือกตั้งแล้ว แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น ยังคงมุ่งมั่น ฝันเฟื่องว่าตัวเองยังมีโอกาส เพราะมั่นใจในกลไกของขบวนการสืบทอดอำนาจที่วางไว้ อาจจะพลิกแพลงจากเล่ห์กลทางกฎหมายให้กลับมาทวงความยิ่งใหญ่ได้ 

โดยลืมไปว่าการก้าวเดินบนถนนสายการเมืองจากที่เคยมีสามคนพี่น้อง หลังการแตกหักก่อนเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง ทำให้บารมี และพลังอำนาจที่เคยมีหดหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ มิหนำซ้ำ คนในสายของน้องที่เคยรักก็แปรพักตร์ไปกับดีลพิเศษ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับอำนาจใหม่ภายใต้การกำกับดูแลของนายใหญ่ ไม่รู้จะเรียกว่าชื่นชมหรือสมน้ำหน้าดี กับความพยายามในการปล่อยข่าวว่า พรรคเพื่อไทยจะเขี่ยพรรคสืบทอดอำนาจพ้นจากการร่วมรัฐบาล ทั้งที่ไม่มีมูลเหตุจูงใจใด ๆ ที่ต้องทำเช่นนั้น

กลายเป็นว่าพอมุกแป้ก บรรดาเสนาบดีของพรรคไม่ได้หวั่นไหว วอกแวก ประกอบกับการการันตีจาก เศรษฐา ทวีสิน ว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้น ผนวกกับการให้สัมภาษณ์ของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ว่า คนในบ้านป่าทำให้การเมืองวุ่นวาย ยิ่งทำให้แผนที่วางไว้พังทลายไปสิ้น จากการทำตัวเป็นเสือซุ่มหวังจะกลับมาผงาดครองความยิ่งใหญ่ ต้องแปรสภาพกลายเป็นแมวเหงาไม่ใช่แมวเก้าชีวิต รอจังหวะที่จะวางมืออย่างเงียบ ๆ และบอบช้ำที่สุดเท่านั้น

การขับเคี่ยวทางการเมืองนาทีนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน ไม่ใช่การช่วงชิงความได้เปรียบกันระหว่างเพื่อไทยกับก้าวไกล หากแต่เป็นการอาศัยจังหวะเพื่อที่จะทำให้เพื่อนร่วมขบวนแห่งอำนาจเสียรังวัด ปัญหาเก้าอี้นายก อบจ.ปทุมธานีของ ชาญ พวงเพ็ชร์ คือตัวชี้วัด ต้องไม่ลืมว่าก่อนจะกลับไปสวมสีเสื้อเพื่อไทยลงสมัคร ลุงชาญเคยสังกัดพรรคภูมิใจไทยตอนช่วงชิงกับ พลตำรวจโท คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง คราวเลือกตั้งหนก่อน

พอมาเที่ยวนี้กลับข้างกัน แม้ว่าในส่วนของบิ๊กแจ๊สจะไม่ได้แสดงตัวชัดเจนว่ามีใครหนุนหลัง แต่เป็นที่รู้กันว่าพรรคของ อนุทิน ชาญวีรกูล ช่วยถือหางอยู่ ดังนั้น เมื่อชาญทำท่าว่าจะสะดุดขาตัวเอง เบื้องต้นอำนาจในการชี้ขาดว่าต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ หากไม่ยอมปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของกฤษฎีกาอยู่ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ซึ่งก็รู้กันดีว่าสังกัดกระทรวงมหาดไทยที่เสียหนูกุมบังเหียนอยู่ ประกอบกับเสียงวิจารณ์เซ็งแซ่เรื่อง สว.สีน้ำเงิน มันจึงทำให้อดคิดกันไม่ได้ในความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนว่าดี ราบรื่น เรียบร้อย ใครจะการันตีได้ว่า หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อนที่คิดว่าไว้ใจจะไม่ถีบหัวส่ง

อรชุน

Back to top button