เซนติเมนต์เหมือนจะมา!

นักลงทุนไทยก่อนเข้าตลาดสมัยก่อน ตื่นเช้ามาก็ดูดาวโจนส์ ดูตลาดหุ้นยุโรปประกอบ


นักลงทุนไทยก่อนเข้าตลาดสมัยก่อน ตื่นเช้ามาก็ดูดาวโจนส์ ดูตลาดหุ้นยุโรปประกอบ จากนั้นก็มาดูดัชนีตลาดหลักเอเชีย 2 ตลาด คือนิกเกอิและฮั่งเส็ง ก็พอจะคาดเดาแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในวันนั้นได้แล้ว

วันไหน หุ้นปรับตัวลงแรงจากการเทขายทำกำไรปกติ โดยมิได้เกิดจากเหตุปัจจัยทางเศรษฐกิจหรือการเมือง ก็จะถือเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ เพราะเชื่อว่ามีแนวโน้มสูงจะเกิด “เทคนิเคิล รีบาวด์” ในวันรุ่งขึ้น

แต่ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ มันไม่ใช่แล้ว ตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนไป!

ดาวโจนส์เขียว นิกเกอิ-ฮั่งเส็ง และหุ้นเพื่อนบ้านเขียวพรึบ แต่ตลาดหุ้นไทยแดงอยู่คนเดียวก็มี วันไหนหุ้นลงแรง ก็อย่าหวังจะเข้าไปช้อน เพราะเชื่อว่าจะมีเทคนิเคิล รีบาวด์วันรุ่งขึ้น

ช้อนหักกันเป็นแถว ๆ มาทั้งนั้นแหละ

ช่วง 2-3 ปีมานี้ของตลาดหุ้นไทย ดัชนีหลักทรัพย์ก็ถดถอยลง จากระดับ 1,600 จุด เคยขยับขึ้นสูงสุดถึง 1,700 จุด แล้วลดระดับลงสู่ระดับ 1,400 จุด และตามมาด้วย 1,300 จุดในปัจจุบัน

วอลุ่มซื้อขายที่เคยคึกคักระดับ 6-7 หมื่นล้านบาทโดยเฉลี่ย/วัน ก็ค่อยลดต่ำลงสู่ระดับ 4-5 หมื่นล้าน 3-4 หมื่นล้าน และระดับ 2-3 หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน

วงการโบรกเกอร์ก็เปลี่ยนไป ผลจากการซื้อขายในระบบ “โปรแกรม เทรด” ที่ซื้อขายกันด้วยความเร็วสูง (High Frequency Trade) ก่อให้เกิดความไม่เสมอภาคในการทำหน้าที่เป็นตัวกลางซื้อขายหุ้นของโบรกเกอร์ด้วย

มาร์เก็ตแชร์โบรกเกอร์บางรายพุ่งสูงปรี๊ดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนถึง 23-24% ทิ้งห่างโบรกฯ อันดับ 2 ที่มีแชร์แค่ 6-7% เท่านั้น นัยก็คือ ความไม่เสมอภาคในการหารายได้ของโบรกเกอร์ด้วยกันนับเป็นเรื่องพูดไม่ออก!

ปัญหาจำเพาะของตลาดหุ้นก็คือ การซื้อขายในระบบ “โปรแกรม เทรด” หรือหุ่นยนต์ “โรบอท เทรด” เป็นการส่งเสริมการลงทุนระยะสั้น-ถึงสั้นมาก ที่มุ่งเป้า “คอร์เนอร์ตลาด” ทั้งซื้อและขายเพื่อทำกำไร

สภาวะตลาดเช่นนี้ ก่อความผันผวนไม่ปกติ

นอกจากนี้การขาย “ชอร์ตเซล” ที่ไม่มีระบบป้องกันที่รอบคอบ ใครเป็นผู้ขายก็ไม่รู้ เป็นการขายแบบ“เนคด์ ชอร์ต” ขายมือเปล่าแหกกฎกติกาหรือเปล่า ก็จับมือใครดมไม่ได้เหมือนกัน

ภาวะตลาดเยี่ยงนี้ ใกล้หายนะเต็มที ผู้บริหารตลาดทุนขณะนั้น ก็ดูจะไม่ใส่ใจในปัจจัยทำลายทั้งหลายที่กล่าวมาเสียด้วย

นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสินได้ตระหนักถึงภยันตรายที่กำลังเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นเป็นอันดี ก็สลับตำแหน่งนายพิชัย ชุณหวชิร ขึ้นไปเป็นรมว.คลัง และดันกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ขึ้นมาเป็นประธานตลท.แทน

ดรีมทีมตลาดทุนชุดใหม่ ประกาศ 3-4 มาตรการให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ก.ค.เป็นต้นมา ได้แก่ การขึ้นทะเบียนผู้ลงทุนที่ส่งคำสั่งซื้อขายด้วยความเร็วสูง (HFT) ก่อนเทรด ซึ่งแต่ก่อนไม่มีการเปิดเผย

มาตรการกำกับดูแลคำสั่งซื้อขายที่ไม่เหมาะสมและเปิดเผยข้อมูลผู้ลงทุนแก่โบรกเกอร์ทุกราย และมาตรการกำกับดูแลการขายชอร์ตให้เป็นไปตามกฎ Uptick Rule ให้ขายชอร์ตที่ราคาสูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย

นอกจากนี้ก็ยังแก้ความฝืดเคืองของสภาพคล่องในตลาดเพื่อให้มีเงินทุนใหม่เติมเข้ามาโดยการปรับกองทุนระยะยาวเป็น TESG” ที่ลดระยะเวลาลงทุนแค่ 5 ปีและลงทุนหุ้นในกลุ่มยั่งยืนที่มากกว่า SET50 รวมทั้งการเปิดกองทุนวายุภักษ์กองใหม่ มูลค่าประมาณ 1.5 แสนล้านบาท

ผมว่าเป็นมาตรการที่เกาถูกที่คัน มูลค่าการขายชอร์ตช่วง 6 เดือนแรกปี 67 ที่เคยตกเฉลี่ยรายวันราว 5,200 ล้านบาท คิดเป็น 11.4% ของมูลค่าซื้อขายรวมตลาด ปรับลดลงมาเฉลี่ยวันละ 1,462 ล้านบาท เหลือแค่ 4.24% เท่านั้น

ตลาดหุ้นปัจจุบันมีแววพ้นหายนะและมีความหวังที่สดใสกว่าเก่า

ชาญชัย สงวนวงศ์

Back to top button