TOP สัญญาณฟื้นตัวตามค่าการกลั่น
การที่ซาอุดีอารามโก ประกาศลดราคาขายน้ำมันดิบที่ส่งให้เอเชียเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเชิงบวกของ TOP
คุณค่าบริษัท
การที่ซาอุดีอารามโก (Saudi Aramco) บริษัทน้ำมันแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย ประกาศลดราคาขายน้ำมันดิบที่ส่งให้เอเชียเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน โดยจะลดราคาขายน้ำมันดิบเกรด Arab Light ลง 1.8 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในเดือน ส.ค. 2567 ต่อเนื่องจากการลดครั้งก่อน 2.4 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในเดือน ก.ค. 2567 เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเชิงบวกของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เนื่องจากมีสัดส่วนการนำเข้าน้ำมันเกรดพรีเมียม (crude premium) จากตะวันออกกลางสูงถึง 94%
ขณะเดียวกัน TOP ยังมีปัจจัยเชิงบวกจากค่าการกลั่นตลาด (market GRM) ที่มีแนวโน้มการฟื้นตัวต่อเนื่อง ช่วยหนุนให้กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นในช่วงครึ่งปีหลังปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากครึ่งปีแรก จากความต้องการใช้น้ำมันยังคงรับแรงหนุนจาก seasonal ฤดูหนาว โดยคาดราคาน้ำมันดิบเฉลี่ย 80-90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ส่วนกลุ่มธุรกิจอะโรเมติกส์ ทั้งพาราไซลีน (PX) และเบนซีน (BZ) สเปรดยังแข็งแกร่ง เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/2567 จากดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น แต่ในช่วงครึ่งปีหลังยังคงจับตาซัพพลายใหม่ที่คาดว่าจะไม่ได้เข้ามาเยอะมากนัก ส่วนกลุ่มโอเลฟินส์ยังท้าทาย เนื่องจากมาร์จิ้นยังคงได้รับผลกระทบจากซัพพลายใหม่ที่เข้ามาสูง
ขณะที่ ในไตรมาส 1/2567 TOP รายงานผลการดำเนินงานมีรายได้จากการขาย 114,239 ล้านบาท ลดลง 1,704% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 115,943 ล้านบาท และมีกําไรสุทธิ 5,863 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.74% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4,554 ล้านบาท โดยมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มฯ รวมผลกระทบจากสต๊อกนํ้ามัน (Accounting GIM) อยู่ที่ 10.5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 6.9 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากไตรมาส 4/2566 ด้วยปริมาณวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตของกลุ่มอยู่ที่ 291,000 บาร์เรลต่อวัน
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2567 ถูกมองว่าจะปรับลดลงจากไตรมาสก่อน แต่จะปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปีก่อนมีขาดทุนสต๊อกน้ำมันและ FX จำนวนมาก
โดย บล.ดาโอ ประเมินว่า TOP จะรายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2567 ที่ 5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 349% จากช่วงเดียวกันปีก่อน หลัก ๆ จากการรับรู้กำไรจากสต๊อก (stock gain) และผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX loss) ที่ลดลง แต่ลดลง 14% จากไตรมาสก่อน ตามค่าการกลั่นตลาด (market GRM) ที่น้อยลง ทั้งนี้คาดว่าบริษัทจะยังคงอัตราการใช้กำลังการกลั่น (refinery run rate) ที่ระดับสูงได้ไตรมาสนี้ แม้จะมีแผนปิดซ่อมบำรุงหน่วยกลั่นน้ำมันดิบที่ 1 (CDU-1) (16% ของกำลังการกลั่นรวม) เป็นระยะเวลา 12 วันก็ตาม
คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2567-2568 ที่ 1.52/1.78 หมื่นล้านบาท เทียบกับ 1.94 หมื่นล้านบาท ในปี 2566 โดยคาดกำไรจะลดลง 22% จากปีก่อน หลัก ๆ จากการปรับสู่ระดับปกติของ crack spread ที่ยังคงดำเนินไป และ refinery run rate ที่ลดลง อย่างไรก็ดีประเมินว่ากำไรจะสูงขึ้น 18% จากปีก่อน ในปี 2568 จาก refinery run rate ที่สูงขึ้นและ market GRM ที่ดีขึ้น
สอดคล้องกับบล.หยวนต้า ประเมินกำไรสุทธิจะทำได้ 5.2 พันล้านบาท ลดลง 12% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 363% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ถือว่าเป็นผลประกอบการรายไตรมาสระดับสูง หนุนจากอัตรากำไรอะโรเมติกส์เพิ่มขึ้น, กำไรสต๊อกน้ำมันจำนวนมาก, กำไรจากธุรกรรมซื้อคืนหุ้นกู้เข้ามาช่วย แนวโน้มกำไรปกติในไตรมาส 3/2567 ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน ตาม Crack Spread สูงขึ้น และต้นทุนน้ำมันลดลง ทั้งนี้ปรับกำไรปี 2567-2568 ลง 15-20% สะท้อนค่าการกลั่นเดือน พ.ค. ปรับฐานเร็วกว่าคาด และเพิ่มความระมัดระวังต่อการ COD Upgrading Unit ของ CFP
สำหรับการประเมินมูลค่า (Valuation) ปัจจุบันราคาหุ้น TOP ซื้อขายกันที่ P/E ระดับ 5.71 เท่า เทียบกับ P/E ตลาดโดยรวมที่ระดับ 17.35 เท่า ถือว่าราคาซื้อขายต่ำกว่าตลาด สอดคล้องกับ P/BV ที่ระดับ 0.69 เท่า ก็ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ส่วนใหญ่ P/BV จะอยู่ที่ระดับ 1.25 เท่า โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 65.04 บาท จากราคาต่ำสุด 54 บาท และราคาสูงสุด 78 บาท