BGRIM เดินหน้าขยายพอร์ตเต็มสูบ

ตลาดฯ กำลังจับตาข้อสรุปของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในการพิจารณาสูตรคำนวณอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) งวดใหม่


เส้นทางนักลงทุน

ตลาดฯ กำลังจับตาข้อสรุปของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในการพิจารณาสูตรคำนวณอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) งวดใหม่รอบเดือนกันยายน ถึงเดือนธันวาคม 2567 ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร จะคงที่หรือเพิ่มขึ้น จากงวดปัจจุบันที่หน่วยละ 4.18 บาท ซึ่งข้อสรุปนี้จะมีผลต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ BGRIM เองนั้น ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจ และทุ่มลงทุนอย่างเต็มที่ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ คือปี 2567 กำไรจะเติบโต 10-15% จากปีก่อน จากต้นทุนราคาก๊าซฯ ที่ลดลง และมีกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่เข้าสู่ระบบอีกกว่า 300 เมกะวัตต์

ขณะที่ ตั้งเป้ามีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) เพิ่มอีก 600-800 เมกะวัตต์ โดยมีเป้าหมายใช้งบลงทุน 1-1.5 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้ขยายโรงไฟฟ้าใหม่และโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง

BGRIM เดินหน้าเต็มกำลัง เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายมีกำลังผลิต 10,000 เมกะวัตต์ ในปี 2573 โดยล่าสุดได้ตั้งบริษัทย่อย “B.Grimm Power Pty.” ในประเทศออสเตรเลีย ถือหุ้น 100% มีทุนจดทะเบียนและชำระแล้ว 1 แสนดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือราว 2.48 ล้านบาท เพื่อลงทุนในบริษัทอื่น

ภายหลังจัดตั้ง B.Grimm Power Pty. ได้เข้าซื้อหุ้นทั้งหมดใน Nemaroo Bimbi Wind Farm Pty. Ltd. (NBWF) ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศออสเตรเลีย จากบุคคลธรรมดาซึ่งไม่ใช่บุคคลที่เกี่ยวโยงกัน โดย NBWF จะพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนและ Energy Hub ทางตอนเหนือของรัฐ Queensland ประเทศออสเตรเลีย

ซึ่งเป็นประเทศที่ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานหมุนเวียน โดยรัฐ Queensland ได้ตั้งเป้าหมายที่จะขยายกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนถึง 80% ภายในปี 2578

ตามแผนงานของ BGRIM ในปี 2567 มุ่งขยายการลงทุนในโครงการที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับต่ำทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในระยะยาวตั้งเป้าสู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลก ขยายพอร์ตสู่กำลังการผลิต 10,000 เมกะวัตต์ ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในปี 2573 และบรรลุเป้าหมายการก้าวสู่องค์กรที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon Emissions) ภายในปี 2593

เฉพาะในปี 2567 นี้ BGRIM น่าจะมีศักยภาพในการขยายกำลังการผลิตอย่างน้อย 360 เมกะวัตต์ ท่ามกลางผลประกอบการรายไตรมาสที่แข็งแกร่ง ภายหลังผลประกอบการงวดไตรมาส 1 ที่ออกมามีกำไรจากการดำเนินงาน (NNP) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 488 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 380 ล้านบาท

แต่มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ที่ 379 ล้านบาท ลดลงจาก 400 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง ซึ่งเป็นรายการที่ไม่กระทบกระแสเงินสดจากการแปลงมูลค่าเงินกู้ยืมสกุลดอลลาร์สหรัฐด้วยอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันสิ้นงวด

โดยมีรายได้จากการขายและการให้บริการที่ 1.42 หมื่นล้านบาท ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้น 10.7% เป็น 3,624 ล้านบาท เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากปริมาณไฟฟ้าที่ขายในไตรมาส 1 ปรับเพิ่มขึ้น 12.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

BGRIM ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการลดลงของราคาก๊าซฯ ซึ่งในปีนี้มีการประเมินว่าราคาก๊าซฯ จะยังคงมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากสัดส่วนการใช้ LNG ลดลงจาก 31% ในปี 2566 เป็น 28% ในปี 2567

ส่วนอัตรากำไรจากการจัดหาก๊าซฯ ลดลง 6 บาท/ล้านบีทียู เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม 2567 และการดำเนินการตาม Single pool price อาจทำให้ราคาก๊าซฯ ลดลงอีก 7 บาท/ล้านบีทียู

ซึ่งผู้บริหาร BGRIM มีมุมมองต่อประเด็นเรื่องราคา LNG ดังกล่าวสอดคล้องกันว่า ในปีนี้ทาง PTTEP ได้เพิ่มกำลังผลิตก๊าซฯ จากฝั่งอ่าวไทยอย่างมาก จึงน่าจะยังคงเห็นราคาก๊าซฯ ที่อยู่ในเทรนด์ขาลงต่อ

และหากเป็นไปตามคาดการณ์ของโบรกเกอร์ที่ว่า ราคาก๊าซฯ ที่ลดลงทุก ๆ 10 บาท/ล้านบีทียู จะทำให้กำไรของ BGRIM ในปีงบประมาณ 2567 เพิ่มขึ้น 5.7% ขณะที่คาดการณ์ราคาก๊าซฯ รวมกลุ่มเฉลี่ยในปีนี้ที่ 360 บาท/ล้านบีทียู ก็ถือว่าได้รับประโยชน์เต็ม ๆ

ส่วนประเด็นที่มีความกังวลเรื่องอุปสงค์ที่อาจจะลดลงของกลุ่มยานยนต์ ผู้บริหารชี้ว่ารายได้จากกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์คิดเป็นเพียง 10% ของรายได้รวม และบริษัทยังคงมีอุปสงค์จากหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมเข้ามาเพิ่มเติมตามเป้าหมายของบริษัท

BGRIM ยังมีโอกาสจากการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งในประเทศและต่างประเทศจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีการเตรียมเพื่อร่วมประมูลโครงการพลังงานทดแทนที่ภาครัฐจะเปิดให้ประมูล โดย BGRIM มีศักยภาพสามารถส่งโครงการเข้าประมูลได้สูงถึง 500 เมกะวัตต์ (MW)

ด้วยศักยภาพของบริษัท ทำให้โบรกเกอร์พรีวิวงบไตรมาส 2 ล่วงหน้า โดยคาดการณ์กำไรที่ 632 ล้านบาท ลดลง 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

การลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากฐานกำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2566 สูงจากค่าไฟฟ้าสูงที่ 4.91 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง เทียบกับ 4.18 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงในไตรมาส 2 ปีนี้ ส่วนการเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน มาจากราคาก๊าซฯ ที่ลดลง 12% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

บริษัทเตรียมยื่นประมูลโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาด 900 เมกะวัตต์ ในการประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนครั้งต่อไป ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 มีกำลังการผลิต 3.6 กิกะวัตต์ คาด BGRIM จะได้รับโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 360 เมกะวัตต์ เมื่ออิงจากผลการประมูลครั้งล่าสุด

BGRIM ยังให้ความสำคัญในการยื่นประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน โรงไฟฟ้าพลังน้ำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายมีกำลังผลิต 10,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2573 ทำให้ BGRIM จึงยังคงเร่งเดินหน้าเต็มกำลังเพื่อขยายพอร์ตทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

Back to top button