พาราสาวะถี

ส.ว.ชุดใหม่ได้เข้ามาทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แล้วแทนพวกลากตั้ง ท่ามกลางการถูกจับตามองการจัดตั้งกลุ่ม ก๊วน ที่โน้มเอียงไปในทางต่อรองผลประโยชน์ทางการเมือง


ส.ว.ชุดใหม่ได้เข้ามาทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แล้วแทนพวกลากตั้ง ท่ามกลางการถูกจับตามองการจัดตั้งกลุ่ม ก๊วน ที่โน้มเอียงไปในทางต่อรองผลประโยชน์ทางการเมือง และส่วนตัว มากกว่ายึดโยงความเดือดร้อนของประชาชน และประเทศชาติ ผลการเลือกประธานวุฒิสภาที่จะเกิดขึ้น เสียงที่ออกมาจะเป็นตัวชี้วัดว่า มีขบวนการล็อบบี้กันหรือไม่ เบื้องต้นมีข้อตกลงกันเรื่องเก้าอี้ของรองประธานวุฒิสภา พ่วงด้วยข้อเสนอที่ยากปฏิเสธ

ประเภทที่โพนทะนาว่ามาอย่างอิสระ เป็นกลุ่มที่ไม่แสวงหาประโยชน์ ไม่อยู่ใต้อาณัติใคร หลังจากได้เห็นโฉมหน้าประมุขสภาสูง พร้อมรองประธานทั้งสองคน ก็จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นไปตามที่มีการกล่าวอ้างไว้หรือไม่ การนัดหมายไปรายงานตัวต่อสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาพร้อมกันในวันนี้ (15 กรกฎาคม) ก็เป็นเพียงพิธีกรรม ทำให้เห็นว่ามีความเป็นเอกภาพ ดังนั้น หากฝ่ายไหนต้องการเสียงสนับสนุนก็พร้อมพิจารณา แต่ว่าจะอยู่บนเงื่อนไขแบบไหนนั่นก็อีกเรื่อง

ทั้งนี้ ตัวเลขของ สว.กลุ่มอิสระ บวกเข้ากับ สว.สายสีส้มน่าจะมีอยู่ราว 30 คน เทียบกับจำนวน สว. 200 คนถือว่าไม่มาก เพียงแต่ว่าบุคคลที่จับมือกันในส่วนนี้ เสียงมีพลังที่สังคมให้ความเชื่อถือมากกว่า สว.กลุ่มใหญ่ จึงถือเป็นจุดแข็งที่ไม่ว่าเรื่องใดหากมีการขยับตัวย่อมถูกจับตามอง การเป็นเสียงข้างน้อยในสภาสูง ไม่ใช่จะถูกมองข้ามจากฝ่ายที่กุมเสียงส่วนใหญ่ได้ แม้จะไม่ใช่พวกลากตั้ง แต่ขาดความเชื่อมโยงกับประชาชน เมื่อใดที่เกิดเรื่องฉาวโฉ่แล้วถูกแฉ ย่อมมีโอกาสที่จะส่งผลในแง่ลบกันทั้งขบวน

อย่างไรก็ตาม เก้าอี้ประธานวุฒิสภานั้นมาถึงตรงนี้ พลเอก เกรียงไกร ศรีรักษ์ ยังคงเต็งหาม แม้จะมีชื่อของ มงคล สุระสัจจะ เป็นแคนดิเดต เนื่องด้วยความเป็น สว.สายสีน้ำเงินทั้งคู่ ทำให้สายตรงคนสนิทของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยอย่างบิ๊กเกรียงมีภาษีมากกว่า ขณะที่อีกรายเด็กในคาถาของ เนวิน ชิดชอบ ยอมที่จะหลีกทางให้ เหลือเก้าอี้รองประธานวุฒิสภาคนที่สองที่แนวโน้มจะเป็นสุภาพสตรี ต้องมาลุ้นกันว่าจะเป็นตัวแทนจากกลุ่มอิสระ หรือทีมเดียวกันกับสายสีน้ำเงิน

ยังคงถูกวิจารณ์ต่อเนื่องกรณีของ สว.ที่ได้รับคะแนนเลือกสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งในระดับประเทศอย่าง แพทย์หญิงเกศกมล เปลี่ยนสมัย ข้อสงสัยเกี่ยวกับวุฒิการศึกษา คงไม่ใช่ปัญหาที่จะทำให้ดำรงตำแหน่งไม่ได้ เพราะตามข้อกฎหมายไม่ได้บังคับเรื่องนี้อยู่แล้ว ใครจะจบแค่ชั้นป. 4 หรือมีหัวโขนเป็นด็อกเตอร์ด็อกแต๋วไม่ใช่ปัญหา จุดชี้วัดการขาดคุณสมบัติคือ ข้อความที่ใช้ในการแนะนำตัวเองเพื่อให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตัดสินใจนั้น จริงหรือเท็จ เป็นประเด็นสำคัญ

กรณีนี้ กกต.ในฐานะฝ่ายตรวจสอบ ต้องย้อนกลับไปดูในเอกสารแนะนำตัวหรือ สว.3 ที่เป็นเอกสารหลักที่ให้ผู้สมัครด้วยกันอ่านและตัดสินใจเลือก มีข้อความใดที่เป็นเท็จหรือไม่ หากตรวจพิสูจน์ได้ว่าเป็นเท็จ นั่นแหละเรื่องใหญ่ เพราะจะเข้าข่ายการกระทำความผิดมาตรา 77 (5) ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. กรณีหลอกลวง หรือจูงใจให้ผู้อื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือชื่อเสียงเกียรติคุณของผู้สมัครใด ความผิดในกรณีนี้โทษหนักคือ แจกใบแดง และมีโทษอาญา จำคุก 1-10 ปี ปรับ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ พร้อมเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี

สำหรับ สว.รายนี้ในแง่ของสังคมโดยเฉพาะโลกโซเชียล มีการตรวจสอบกันอย่างเข้มข้น ไปไกลถึงขนาดสแกนหามหาวิทยาลัยที่ระบุว่าจบด็อกเตอร์มานั้น มีอยู่จริงหรือไม่ คำตอบที่ได้อย่างที่ปรากฏเป็นข่าว เป็นหน้าที่ของ กกต.ในฐานะผู้มีอำนาจต้องไปตรวจสอบให้แน่ชัด เพราะมีอำนาจในการที่จะประสานขอข้อมูลที่ถูกต้องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ต้องให้ความเป็นธรรมกับคนที่ถูกเพ่งเล็ง บางครั้งการติดตามเพื่อแฉของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลทางโลกออนไลน์ก็ไม่ได้ข้อมูลเชิงลึก จนพิสูจน์ได้ว่าที่มีข้อกล่าวหานั้นจริงหรือเท็จประการใด

ขณะเดียวกัน ประเด็นที่ว่าการที่สภาสูงมีแต่ สว.สายสีน้ำเงินจำนวนมาก จะเป็นผลดีต่อพรรคภูมิใจไทยในแง่ของการต่อรองทางการเมือง หรือสร้างแรงกดดันต่อพรรคเพื่อไทย หากดูในแง่ของอำนาจ หน้าที่และบทบาทของ สว.ชุดใหม่ ไม่ได้มีเรื่องไหนที่จะทำให้พรรคแกนนำรัฐบาลต้องหนักใจ ปมว่าด้วยการขวางกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ใช่ปัญหา ถ้าได้พยายามเต็มที่แล้ว แต่ติดขัดที่วุฒิสภา ถือว่าไม่ได้เป็นความผิดของพรรคนายใหญ่ เพราะได้ทำทุกอย่างสุดฝีมือแล้วแต่อีกฝ่ายไม่ยอมให้เดินหน้าต่อ

แก้ได้หรือไม่ได้ก็ไม่ได้ก่อประโยชน์ให้กับพรรคแกนนำรัฐบาลแต่อย่างใด เช่นเดียวกันกับประเด็นที่ว่า การเดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลอาจมีปัญหา ถ้าพรรคร่วมรัฐบาลอันดับ 2 สั่งการ สว.สายสีน้ำเงินได้ ก็เสี่ยงสูงที่จะถูกสภาสูงตีตก ยิ่งเป็นการดีต่อพรรคเพื่อไทยไปใหญ่ เพราะประชาชนจะได้เห็นว่า เศรษฐา ทวีสิน และคณะรัฐบาลได้ทุ่มเทต่อการผลักดันนโยบายนี้อย่างเต็มที่แล้ว ทำทุกอย่างด้วยความรอบคอบ แต่สภาสูงไม่เห็นชอบ แรงเหวี่ยงจะตกไปอยู่กับ สว.ทันที ขณะที่พรรคที่อยู่เบื้องหลังก็จะถูกตีตราว่าสกัดผลประโยชน์ของประชาชน ย่อมไม่เป็นผลดีต่อการเลือกตั้งครั้งต่อไปอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาลราบรื่น เรียบร้อยหรือไม่ ให้รอดูการเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำที่พรรคพลังประชารัฐเป็นเจ้าภาพวันนี้ ซึ่งถือเป็นการพบปะกันบนโต๊ะอาหารครั้งที่ 3 หลังจากที่สองครั้งก่อนหน้าเพื่อไทย และภูมิใจไทย เป็นเจ้าภาพไปแล้ว ทั้งนี้ การนัดดินเนอร์หนนี้จะใช้สถานที่คือ บ้านปาร์คนายเลิศ ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ ยืนยันแล้วว่าฝ่ายเจ้ามือผู้จัดเลี้ยงนั้นหัวหน้าพรรคอย่างพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ไม่มาร่วมวงด้วย

หนนี้ นอกจากจะได้มีการแลกเปลี่ยน สอบถามถึงอุปสรรค ปัญหาในการทำงานร่วมกันในรัฐบาลแล้ว ก็จะมีการเคลียร์ใจกันกับปัญหาทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นปมนำกัญชากลับไปเข้าบัญชียาเสพติดที่เสี่ยหนูและภูมิใจไทยไม่พอใจ ความอึดอัดของ สส.เพื่อไทยต่อโครงการปุ๋ยคนละครึ่งที่อยู่ในการบริหารของพรรคพลังประชารัฐ ที่สำคัญก่อนหน้ากินข้าวกับพรรคร่วม เศรษฐาเพิ่งเสร็จประชุมคณะกรรมการดิจิทัลวอลเล็ตชุดใหญ่ ทั้งหมดนี้จะถือโอกาสสอบทาน และขอคำยืนยันจากบรรดาแกนนำพรรคทั้งหลายว่า ยังคงพร้อมที่จะเดินไปในทิศทางเดียวกัน และจับมือให้เหนียวแน่นหรือไม่ ไม่กี่อึดใจได้รู้กัน

อรชุน

Back to top button