พาราสาวะถี

ไม่ว่าจะเป็นพวก “กลัว” หรือ “เกลียด” ความเป็น ทักษิณ ชินวัตร มันก็เป็นเรื่องที่น่าแปลก หรือตลกร้ายอยู่ไม่น้อย


ไม่ว่าจะเป็นพวก “กลัว” หรือ “เกลียด” ความเป็น ทักษิณ ชินวัตร มันก็เป็นเรื่องที่น่าแปลก หรือตลกร้ายอยู่ไม่น้อย เพราะท่วงทำนองที่ขับเคลื่อนกันแต่ละครั้ง มันทำให้สังคมสับสน และย้อนแย้งกันยังไงชอบกล เมื่อพูดถึงผลงานของรัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน และกระแสนิยมของพรรคเพื่อไทย ก็ลากเอาอดีตนายกรัฐมนตรีเข้าไปเกี่ยวข้อง พร้อมกับปรามาสว่าสิ้นมนต์ขลัง ทำยังไงก็ไม่สามารถสร้างความสำเร็จให้กับรัฐบาลได้ ประชานิยมที่เคยใช้ได้ผลน่าจะเสื่อมเรียกเรตติ้งไม่ได้

แต่พลันที่บิ๊กแม้วไปลั่นวาจาที่สุรินทร์ตั้งแต่ 1 สิงหาคมเป็นต้นไปรัฐบาลจะมีผลงานเป็นรูปธรรมมากขึ้น เหมือนส่งสัญญาณการคัมแบ็ก ไม่ว่าจะในฐานะที่ปรึกษานายกฯ ประธานพรรคหรือที่ประธานปรึกษาพรรคเพื่อไทย ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กระหึ่มขึ้นมาทันทีทันใด ทั้งจากพวกขาประจำ และฝ่ายการเมืองที่มองเห็นว่าหากอดีตนายกฯ รุกคืบเข้าสู่ถนนสายการเมืองแบบเต็มตัว ย่อมจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อพรรคที่ตัวเองสังกัดอย่างรุนแรง

ทั้งที่ เย้ยหยัน ดูแคลนมาตลอดทั้งต่อรัฐบาล และพรรคเพื่อไทย ทักษิณไม่มีวันจะทำให้ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิมได้แล้ว เหตุใดจึงต้องออกอาการกันขนาดนั้น เมื่อความจริงเชื่อมั่นว่าไม่มีอะไรน่าเกรงขาม วาทกรรมเรื่องประเทศมีนายกฯ สองคน ถูกขุดขึ้นมาโจมตีรัฐบาล พร้อมกับการด้อยค่าเศรษฐาอีกหน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สำหรับพรรคเพื่อไทยหากนายใหญ่สมัครเป็นสมาชิกพรรคเรียบร้อย ข้อกล่าวหาว่าครอบงำคงจะทำอะไรไม่ได้ พวกให้ร้ายก็จะได้เลิกพูดเสียที

ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกหวั่นไหว กริ่งเกรงต่อการกลับมาของทักษิณ ฟากของพรรคร่วมรัฐบาลกลับดูคึกคักเป็นพิเศษ สัมผัสได้จากงานเลี้ยงอาหารค่ำที่พรรคสืบทอดอำนาจเป็นเจ้าภาพ จัด ณ บ้านปาร์คนายเลิศ เศรษฐาถึงขั้นประกาศเชื่อมั่นความเป็นปึกแผ่น 314 เสียงของพรรคร่วมรัฐบาล และยังมองด้วยว่าน่าจะมีเสียงหนุนมากกว่านี้ เป็นไปอย่างที่ ธรรมนัส พรหมเผ่า กระเซ้า อนุทิน ชาญวีรกูล มีพรรคที่พี่หนูดูแลอีกกว่า 20 พรรคซึ่งพลังประชารัฐก็จะไม่ยอมน้อยหน้าเหมือนกัน

กรณีนี้ก็เหมือนเอาเรื่องจริงมาเป็นโจ๊ก แต่เป็นที่รู้กันอยู่แล้วนักเลือกตั้งอาชีพ เป็นศัตรูกันในสนามต่อสู้ช่วงเลือกตั้งเท่านั้น หลังเสร็จศึกใครได้เข้าสู่เส้นทางแห่งอำนาจบริหาร พวกที่เป็นฝ่ายค้านซึ่งยึดมั่นถือมั่นก็จะทำตัวเป็นผู้ดี ตั้งมั่นในฐานะผู้ตรวจสอบอย่างเต็มที่ แต่ส่วนใหญ่หรือที่ไม่ใช่พรรคฝ่ายค้านหลัก มักจะวิ่งเข้าหา สานสัมพันธ์กับพรรคที่เป็นขั้วรัฐบาล การเมืองมีต้นทุน นักการเมืองย่อมมีค่าใช้จ่าย ลำพังค่าตอบแทนจากตำแหน่ง เบี้ยประชุมไม่พอกับภาษีสังคมที่ต้องดูแลแน่นอน

อยู่ที่ว่าฝ่ายกุมอำนาจจะมีการดูแลกันแบบไหน นักเลือกตั้งประเภทที่ไม่มีกิจการ บริษัท ห้างหุ้นส่วนรับเหมาในพื้นที่ ก็จะเป็นการแจกกล้วยในอัตราที่เหมาะสม ส่วนใหญ่ก็จะขอกันในรูปของการจากภาครัฐแล้วแต่ความถนัดของแต่ละคนว่าจะประกอบกิจการประเภทไหน แกนนำพรรครัฐบาลที่ใจถึงพึ่งได้ก็จะมีบรรดาผู้แทนทั้งพรรคเดียวกัน ฝ่ายเดียวกัน หรือฝั่งตรงข้ามวิ่งเข้าหาชนิดหัวกระไดไม่แห้ง ดูแล จัดสรรปันส่วนกันตามสมควร เป็นเรื่องธรรมดาที่รู้กันอยู่แล้วในแวดวง

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกกับข่าวคราวหากมีการยุบพรรคก้าวไกล แล้วจะมี สส.จำนวนหนึ่งไม่ไปต่อกับพรรคใหม่ พร้อมที่จะแลกกับอนาคตการสอบตกในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะการกล้าได้กล้าเสียเพียงครั้งเดียว อาจนำไปสู่การอยู่สุขสบายทั้งชีวิต ใครจะตั้งข้อกังขาว่าทำกันแบบนี้มันไม่เข้าข่ายทุจริต ประพฤติมิชอบอย่างนั้นหรือ ต้องถามกลับไปว่าแล้วใครจะเป็นผู้ตรวจสอบ ร้องเรียน สิ่งสำคัญคือ หลักฐาน ใบเสร็จที่จะเอาผิดมีกันหรือไม่

ไม่ต้องบอกว่าเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้าไปตรวจสอบ เอาแค่องค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช. ลองไปถามไถ่กันนาทีนี้ ผลพวงจากการตรวจสอบที่ถูกคนจำนวนไม่น้อยตั้งข้อสงสัยว่า มีการปกป้อง ปกปิดอะไรกันหรือไม่ในกรณีแหวนแม่นาฬิกาเพื่อน กลายมาเป็นบ่วงรัดคอกรรมการ ป.ป.ช.ที่เกี่ยวข้องมาจนถึงทุกวันนี้ กรณี วีระ สมความคิด ไปฟ้องต่อศาลให้มีการเปิดเผยเอกสารการตรวจสอบทั้งหมด ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งมาแล้ว ถึงวันนี้ยังไม่มีการปฏิบัติตาม

จนวีระต้องฟ้องต่อศาลปกครองอีกรอบเพื่อให้เอาผิดกรรมการ ป.ป.ช. และสัปดาห์หน้าเตรียมยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริต เอาผิด ป.ป.ช.ทั้งคณะ ในข้อหาร่วมกันไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ 5 กระทงความผิดคือ ละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ ไม่เปิดเผยรายงานการตรวจสอบทรัพย์สินตามคำสั่งของคณะกรรมการข่าวสารข้อมูล ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่เปิดเผยรายงานการตรวจสอบทรัพย์สินตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด 

ละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ ไม่เปิดเผยรายงานการตรวจสอบทรัพย์สินตามคำบังคับของศาลปกครองกลาง ปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบคือ ฝ่าฝืนคำบังคับของศาลปกครองกลางไม่เปิดเผยรายงานการตรวจทรัพย์สินเป็นเหตุให้ศาลปกครองกลางมีคำสั่งลงโทษทางอาญาปรับ 10,000 บาท หลังจากศาลมีคำสั่งปรับแล้วก็ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่เปิดเผยรายงานการตรวจสอบทรัพย์สิน ตามคำบังคับของศาลปกครองกลาง จนโจทก์ต้องขอให้ศาลออกหมายจับ ป.ป.ช. ในการฟ้องคดีนี้วีระขอให้ศาลลงโทษตามมาตรา 157 แห่งกฎหมายอาญาในสถานหนักทุกกระทงความผิด โดยให้นับโทษรวมกันทุกกระทง

นี่ก็เป็นผลแห่งการใช้นิติสงครามไล่ล่าฝ่ายตรงข้ามของเผด็จการสืบทอดอำนาจในห้วงที่ผ่านมา โดยบรรดาผู้ถูกบุญคุณของเผด็จการ คสช.คุ้มกะลาหัว ลืมบทบาท หน้าที่ของตัวเอง แสดงอาการเอียงกันจนตกเป็นขี้ปากของสังคม เมื่อทุกอย่างกลับมาเดินบนเส้นทางที่เกือบปกติ จึงถึงเวลาที่กรรมเริ่มทำงาน หากเชื่อมั่นว่าทำกรรมดีก็ไม่ต้องกลัวอะไร แต่หากไม่ใช่ก็ต้องพร้อมที่จะรับผลแห่งกรรม ส่วนกรรมของผู้อยู่ในอำนาจปัจจุบัน ขึ้นอยู่กับผู้ชี้ชะตากรรมที่ทำให้ดีลพิเศษตั้งรัฐบาลพลิกขั้วได้ อำนาจที่ทรงพลังยังถูกใจ พอใจกับอำนาจที่บริหารประเทศอยู่ ย่อมไม่มีเหตุอะไรที่จะมาทำให้สะดุด

อรชุน

Back to top button