พาราสาวะถี

ผ่านไปไร้ปัญหาการประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2567 วงเงินไม่เกิน 1.22 แสนล้านบาท


ผ่านไปไร้ปัญหาการประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2567 วงเงินไม่เกิน 1.22 แสนล้านบาท หลังสมาชิกอภิปรายกันนานกว่า 10 ชั่วโมง ที่ประชุมลงมติรับหลักการ 297 เสียง ไม่รับหลักการ 164 เสียง ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ 32 คน กำหนดระยะเวลาแปรญัตติ 2 วัน ระยะเวลาพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ จำนวน 5 วัน และประชุมนัดแรกวันที่ 19 กรกฎาคม และนำมาเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาวาระ 2-3 ในวันที่ 31 ก.ค.นี้

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงไม่มีอะไรที่จะมาทำให้สะดุด พอเข้าสู่เดือนสิงหาคมการทำงานของรัฐบาลน่าจะเป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้นเหมือนที่ ทักษิณ ชินวัตร ได้ว่าไว้ ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายที่พรรคร่วมฝ่ายค้านจะโหวตไม่รับหลักการร่างกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งความจริงก็ต้องบอกว่าทุกฉบับที่รัฐบาลเสนอ ส่วนการอภิปรายข้อทักท้วง โจมตีทั้งหลาย อย่างที่บอกไว้เมื่อเป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาล ยังไงก็ต้องเดินไปให้ได้ ดีร้ายได้หรือเสียอย่างไร ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน

เป็นอันว่าคดียุบพรรคก้าวไกล ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดวันชี้ชะตากรรมไว้แล้ว 7 สิงหาคมนี้ ผลการวินิจฉัยจะรู้กันประมาณบ่ายสามโมง มาถึงตรงนี้คนส่วนใหญ่แทงหวยไว้ล่วงหน้าว่า “ไม่รอด” ความพ่ายแพ้ยกแรกในการต่อสู้ของพรรคสีส้มคงเป็นเรื่องที่ยื่นร้องขอให้ศาลมีการเปิดไต่สวนคดี แต่ผลการพิจารณาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า คดีเป็นปัญหาข้อกฎหมายและมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงยุติการไต่สวนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง

ขณะเดียวกัน หากคู่กรณีประสงค์จะแถลงการณ์ปิดคดีให้ยื่นเป็นหนังสือต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในวันที่ 24 กรกฎาคมนี้ ความจริงกระบวนการต่อสู้แม้ศาลจะไม่เปิดการไต่สวน ทางพรรคก้าวไกลก็ได้มีการแถลงถึงแนวทางมาโดยตลอด และอ้างว่าไม่ได้ดำเนินการชี้นำหรือกดดันการพิจารณาของศาล รวมทั้งการเปิดตัวพร้อมเอกสารสู้คดีของพยานสำคัญอย่าง สุรพล นิติไกรพจน์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วย แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอ แต่จะมากพอที่ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญเห็นด้วยหรือไม่ ต้องไปลุ้นกัน

ส่วน สว.ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดในการเลือกระดับประเทศอย่าง แพทย์หญิงเกศกมล เปลี่ยนสมัย ที่เผชิญกับการตรวจสอบว่าด้วยเรื่องวุฒิการศึกษา ฟังที่เจ้าตัวชี้แจงไม่ว่าจะยกเคสใดมา ยิ่งอธิบายเหมือนจะยิ่งยุ่ง เพื่อตัดปัญหา ทาง กกต.โดย แสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.มีคำสั่งรับเป็นสองคำร้องเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม และวันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อตรวจสอบว่า การที่ระบุประวัติการศึกษาว่าเป็นศาสตราจารย์ จบปริญญาเอกจาก California University ในใบเอกสารแนะนำตัวสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว.3 นั้น เข้าข่ายเป็นการกระทำหลอกลวง จูงใจให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือชื่อเสียงเกียรติคุณ

การกระทำดังกล่าว ถือเป็นความผิด ตามมาตรา 77 (4) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. หรือไม่ เพื่อให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิ์เลือกลงคะแนนให้แก่ตน โดยการรับคำร้องดังกล่าวเป็นสำนวนเพื่อดำเนินการตามระเบียบ กกต.ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาด 2566 อย่างที่บอกว่าคุณสมบัติของผู้สมัคร สว.นั้นไม่ได้กำหนดเรื่องวุฒิการศึกษา แต่การกรอกประวัติการศึกษาในใบ สว.3 เป็นการหลอกลวงให้ลงคะแนนเลือก ซึ่ง กกต.จะต้องมีการตรวจสอบ หาพยานหลักฐานมาพิสูจน์

เข้าใจเหตุผลที่มีการประกาศรับรองไปก่อน เนื่องจากผู้ได้รับเลือกไม่ได้ขาดคุณสมบัติ แต่หลังจากนี้สิ่งที่ กกต.จะต้องทำความกระจ่างให้กับสังคมคือ การพิสูจน์เอกสาร หลักฐานทางการศึกษา ความมีอยู่จริงของสถานะทางวิชาการ และใบปริญญาที่มีการนำมากล่าวอ้าง หากเป็นเรื่องเท็จถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะคนทำผิดมีโทษหนักถึงขั้นให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี เท่าที่ดูความเคลื่อนไหวของคนที่ถูกตรวจสอบ น่าจะมั่นใจต่อแบ็คอัพที่หนุนหลังยังไงก็ไม่น่าจะตกสวรรค์ ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องลุ้นเหมือนกัน

เห็นการลุกขึ้นชี้แจง โต้ตอบข้อกังขาของพรรคฝ่ายค้านต่อร่าง พ.ร.บ.งบประมาณเพิ่มเติม 1.22 แสนล้านบาท ของ 3 รัฐมนตรีคลัง ทั้ง พิชัย ชุณหวชิร เจ้ากระทรวง พร้อมสองรัฐมนตรีช่วย จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ และ เผ่าภูมิ โรจนสกุล ต้องบอกว่าเมื่อมือไม้ทำงานที่ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี มีทั้งนักบริหารที่เข้าใจสภาพเศรษฐกิจโดยรวม นักการเมืองที่รู้เรื่องทางกฎหมาย และทะลุปรุโปร่งในแง่ของการบริหารงบประมาณ จึงทำให้สามารถอธิบายได้อย่างมั่นใจ

เหนือสิ่งอื่นใดคือ ความล่าช้าที่ทำให้ต้องเปลี่ยนไทม์ไลน์โครงการดิจิทัลวอลเล็ต ก็เป็นการเปิดกว้างรับฟังความเห็นรอบด้าน ตั้งการ์ดรัดกุม บนข้อสั่งการของ เศรษฐา ทวีสิน ที่ว่า ทุกอย่างต้องถูกต้องตามกฎหมาย ความล่าช้าจึงไม่ใช่อุปสรรค และทำให้รัฐบาลกลายเป็นเป้าโจมตี ดีเสียด้วยซ้ำ เมื่อทุกอย่างรอบคอบ มีความเห็นจากทุกฝ่าย ย่อมปิดช่องโหว่ที่จะถูกเล่นงานได้ ท้ายที่สุด ขึ้นอยู่กับผลของการดำเนินการ งานนี้ฝ่ายที่คิดและถือธงนำเชื่อว่าไม่มีเจ๊ง มีแต่ได้กำไรมากกว่าหรือเท่าทุน

คดีชาวเวียดนาม สัญชาติเวียดนาม 4 ราย และสัญชาติอเมริกัน 2 รายที่ตายกัน 6 ศพ ในโรงแรมหรูกลางกรุงเทพฯ เป็นข่าวที่ถูกกระพือไปทั่วโลก ดีที่ว่าเศรษฐาเข้าไปดูเรื่องนี้ด้วยตนเอง พร้อมสั่งการสำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งดำเนินการสืบสวนสอบสวนให้เกิดความกระจ่างโดยเร็ว ทันทีทันใด ไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ ได้ข้อสรุปว่า 1 ในผู้เสียชีวิตคือผู้ลงมือวางยาฆ่าทั้งหมด ด้วยเหตุผลส่วนตัวว่าด้วยหนี้สิน เมื่อเป็นไปในแนวทางนี้ ย่อมไม่สร้างผลสะเทือนต่อการท่องเที่ยวของประเทศ

ต้องชื่นชมทางตำรวจที่คลี่คลายคดีโดยผลพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ แถลงประมวลเหตุการณ์ พร้อมหลักฐานที่พิสูจน์ได้ นอกจากจะทำให้เกิดความกระจ่างในคดี ปิดจ๊อบสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวต่างชาติไม่ว่าจะด้านท่องเที่ยว หรือการลงทุนใด ๆ ยังเป็นประโยชน์มหาศาลต่อความเชื่อถือในกระบวนการทำงานของตำรวจไทย แม้จะมีข่าวด้านลบหลายกรณีก่อนหน้า แต่คดีนี้ทำให้เห็นว่าถ้าไม่มีเรื่องที่เกี่ยวพันกับธุรกิจหรือผลประโยชน์สีเทา ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยจะทำไม่ได้

อรชุน

Back to top button