MC ยอดขายโต

–คุณค่าบริษัท–

 

ด้วยกลยุทธ์กระตุ้นยอดขายของ บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC จากการทำโปรโมชั่นแคมเปญเมื่อวันที่ 4 ต.ค.58 ฉลองครบรอบ 40 ปี ซื้อ 1 ชิ้น ฟรี 1 ชิ้น และอานิสงส์จากการกระตุ้นกำลังซื้อของรัฐบาทในมาตรการลดหย่อนภาษี 15,000 บาท ซึ่งจะทำให้ยอดขายระยะสั้นในช่วงไตรมาส 4 ปี 58 ปรับตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมียอดขายสาขาเดิม ที่ประเมิน SSSG กลับมาเป็นบวกค่อนข้างมากรวมถึงการขยายสาขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้นักวิเคราะห์คาดว่ากำไรไตรมาส 4 ปี 58 อยู่ที่ 214.40 ล้านบาท กลับมาเติบโต 9.8% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

ส่วนในปี 2559 นักวิเคราะห์คาดว่ากำไรเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดิม 2.8% ที่ 783.2 ล้านบาทสาเหตุจากการปรับอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเป็นผลของการปรับปรุงสายงานการผลิตให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น ในส่วนของยอดขายคาดโตที่ 4,204.5 ล้านบาท หรือ 12.2% จากงวดเดียวกันของปีก่อน สิ่งสำคัญบริษัทออกกลยุทธ์ต่างๆเพื่อกระตุ้นยอดขายผลักดันกำไรในอนาคตให้เติบโต โดยทางบริษัทดำเนินงานแผนงานตาม 5 กลยุทธ์หลักดังต่อไปนี้

1) การขยายจุดจำหน่ายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 60 แห่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ 2) การแตกไลน์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ใหม่ ดังเช่นในปี 58 ที่มีการขายกระเป๋าเดินทางและการเปิดตัวจำหน่ายแบรนด์เสื้อผ้าท่อนบน McT ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

3) การเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้ามากขึ้น โดยการรุกตลาดออนไลน์มากขึ้น โดยคาดจะเริ่มเปิดให้บริการในปี 59 แต่คาดในระยะสั้น 2-3 ปี อาจจะยังไม่เห็นยอดขายออนไลน์มีสัดส่วนอย่างมีนัยสำคัญมากนัก 4) การทำโปรโมชั่นแคมเปญกระตุ้นยอดขายตามช่วงเหตุการณ์หรือเทศกาลต่างๆ 5) การควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายมากขึ้น

ในแง่ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2558 บริษัทมีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 814.72 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 771.97 ล้านบาท ปัจจัยหลักเป็นผลจากการขยายช่องทางในการขาย และ จากผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าท่อนบนภายใต้แบรนด์ใหม่ McT ที่บริษัทได้เปิดตัวไปในเดือนสิงหาคม ขณะที่กำไรของบริษัททำได้เพียง 112.64 ล้านบาท หรือ 0.14 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 135.93 ล้านบาท หรือ 0.17 บาทต่อหุ้น

ขณะที่ผลการดำเนินงานงวดเก้า เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2558 บริษัทมีรายได้ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 2,645.02 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 2,481.68 ล้านบาท แต่บริษัททำกำไรเพียง 482.16 ล้านบาท หรือ 0.60 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 516.28 ล้านบาท หรือ 0.65 บาทต่อหุ้น เนื่องจากการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราส่วนค่าใช้จ่ายการขายและบริหารต่อยอดขายรวมตามที,กล่าวไว้ข้างต้น

เมื่อวิเคราะห์ฐานะทางการเงินเพื่อเป็นตัวแปรสำหรับตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนก็พบว่า ฐานะทางการเงินยังดูดี เพราะบริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนมากถึง 3,633.48 ล้านบาท เมื่อนำมาเทียบกับหนี้สินหมุนเวียนเพียง 880.32 ล้านบาท ได้ค่า CURRENT RATIO อยู่ที่ระดับ 4.13 เท่า แสดงว่า สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทค่อนข้างมากพอสมควร

ส่วนปัญหาหนี้สินของบริษัทไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะบริษัทมีหนี้สินรวมเพียง 934.26 ล้านบาท เมื่อนำมาเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้นมากถึง 3,814.72 ล้านบาท ได้ค่า D/E อยู่ที่ระดับ 0.25 เท่า แสดงว่า บริษัทไม่มีปัญหาหนี้สินมารบกวนการดำเนินงานในอนาคต

ในขณะที่นักวิเคราะห์ บล. ฟิลลิปแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับราคาพื้นฐานปี 59 ลงมาที่ 15.70 บาทต่อหุ้น

…

 

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

1.น.ส.สุณี เสรีภาณุ 359,021,500 หุ้น 44.88%

2.MINDO ASIA INVESTMENT LIMITED 70,000,000 หุ้น 8.75%

3.THE HONGKONG AND SHANGHAI BANKING CORPORATION LIMITED, FUND SERVICES DEPARTMENT 50,000,000 หุ้น 6.25%

4.RBC INVESTOR SERVICES TRUST 32,903,200 หุ้น 4.11%

5.นางปรารถนา มงคลกุล 31,471,000 หุ้น 3.93%

 

รายชื่อกรรมการ

1.น.ส. สุณี เสรีภาณุ ประธานกรรมการบริษัท

2.น.ส. สุณี เสรีภาณุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

3.นาย วิรัช เสรีภาณุกรรมการ

4.นาย สุระศักดิ์ เคารพธรรม กรรมการ

5.นาย สมชัย อภิวัฒนพร กรรมการอิสระ