พาราสาวะถี

เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ทุกครั้งเมื่อจะมีการชี้ขาดประเด็นร้อน ศาลรัฐธรรมนูญต้องมีคำสั่งกำหนดมาตรการให้การรักษาความปลอดภัยเต็มพิกัด


เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ทุกครั้งเมื่อจะมีการชี้ขาดประเด็นร้อน ศาลรัฐธรรมนูญต้องมีคำสั่งกำหนดมาตรการให้การรักษาความปลอดภัยเต็มพิกัด หนนี้เช่นเดียวกัน สองคดีสำคัญยุบพรรคก้าวไกล 7 สิงหาคม และคดีถอดถอน เศรษฐา ทวีสิน พ้นตำแหน่งจากการร้องของ 40 สว. 14 สิงหาคมนี้ ศาลรัฐธรรมนูญออกประกาศควบคุมพื้นที่ โดยมีเนื้อหาสาระสำคัญ 2 ประการคือ กำหนดบุคคลให้เฉพาะผู้ร้อง ผู้ถูกร้อง ผู้รับมอบอำนาจหรือผู้รับมอบฉันทะ หรือผู้ที่ศาลรัฐธรรมนูญอนุญาต รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น อยู่ในห้องพิจารณาคดีเพื่อรับฟังการอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันดังกล่าว

ขณะเดียวกัน ให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญจัดให้มีช่องทางการรับฟังการอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและสื่อมวลชน ประกาศกำหนดอาณาบริเวณหรือพื้นที่ที่กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญ และสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติงาน รักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อย ถือเป็นมาตรการคุมเข้ม อย่างน้อยเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายกรณีที่มีกองเชียร์เดินทางมาให้กำลังใจผู้ถูกร้อง

ความจริงหากประเมินจากสถานการณ์ อารมณ์ของผู้คนที่สนับสนุนพรรคสีส้ม คงไม่ปะทุหรือเกิดแรงกระเพื่อมใด ๆ หากมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคก้าวไกล เพราะเข้าใจกันดีอยู่แล้ว ตั้งต้นมาแบบนี้หากรอดได้ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์ ไม่รอดถือเป็นเรื่องธรรมดา ต้องก้มหน้ารับชะตากรรม แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเชียร์พรรคใหม่ที่จะเกิดขึ้นต่อไป ไม่ใช่การยอมศิโรราบต่อนิติสงคราม แต่ต้องทำใจยอมรับความเป็นจริงที่ว่า เมื่อเกิดมาเพื่อท้าทาย และท้าชน โดยเฉพาะเรื่องที่อ่อนไหวต้องพร้อมรับแรงกระแทกที่จะตามมา

ส่วนคดีของเศรษฐา ดูตามหน้าเสื่อคงไม่มีอะไรให้ต้องลุ้นพลิกคว่ำพลิกหงาย กระแสที่มาแรงตอนนี้หนีไม่พ้นนายกฯ สำรอง กับชื่อของ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย แม้เจ้าตัวจะย้ำในหลักการ มารยาททางการเมือง และความถูกต้องตามกระบวนการกฎหมาย แต่หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองกับเศรษฐา ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เสี่ยหนูจะได้เสียบแทน เหตุผลคือเพื่อไทยที่หมายถึง ทักษิณ ชินวัตร ยังไม่ต้องการที่จะดันให้ แพทองธาร ลูกสาวคนเก่งมารับเผือกร้อนในตอนนี้

ยังมีเวลาบ่มเพาะ เก็บเกี่ยวประสบการณ์เพื่อเสริมเขี้ยวเล็บให้แกร่งกว่านี้ก่อน อย่างไรก็ตาม มีการประเมินกันภายในทั้งในส่วนของพรรคนายใหญ่ รวมไปถึงพรรคร่วมรัฐบาล แนวโน้มที่เศรษฐาจะรอดมีสูง สวนทางกับคดีของก้าวไกล ดังนั้น แทนที่จะไปลุ้นเก้าอี้นายกฯ ถูกต้องอย่างที่เสี่ยหนูว่า มาดูตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ดีกว่า ถ้าพรรคสีส้มถูกยุบ หมายความว่า เก้าอี้ของ “หมออ๋อง” ปดิพัทธ์ สันติภาดา ก็จะต้องถูกริบคืนไปด้วย

ตรงนั้น หากพรรคร่วมรัฐบาลยังเป็นชุดเดิม ถือเป็นความชอบธรรมของพรรคภูมิใจไทยที่จะได้โควตาเก้าอี้ตัวนี้ไป ต้องไม่ลืมว่า การเจรจาว่าด้วยตำแหน่งประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรนั้น เกิดขึ้นก่อนที่จะตั้งรัฐบาลพลิกขั้ว ซึ่งถือเป็นกระบวนการที่ไม่ปกติ เมื่อเข้าสู่โหมดที่มีฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านชัดเจนแล้ว กรณีพรรคก้าวไกลถูกยุบฝ่ายรัฐบาลย่อมใช้สิทธิกุมเสียงส่วนใหญ่ในสภา ทำให้เก้าอี้รองประธานสภาคนที่ 1 มาอยู่ในสัดส่วนฝ่ายกุมอำนาจทั้งหมด

แน่นอนว่า ถ้าหากเป็นพรรคสีน้ำเงิน รายชื่อของ ภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง จะถูกดันให้มาทำหน้าที่ดังกล่าว ถือเป็นการเดินตามรอย “เสี่ยตือ” สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ผู้เป็นบิดา แนวโน้มของการเปลี่ยนมือสำหรับตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ถือว่ามีสูงกว่าการที่เสี่ยหนูจะมีโอกาสได้เป็นนายกฯ แทนเศรษฐา การเมืองว่าด้วยกลเกมที่ต้องสกัดกั้นพวกสุดโต่ง ทุกเรื่องราวที่จะมีผลกระทบย่อมได้รับการปัดเป่า เพื่อให้เกิดเสถียรภาพในการบริหาร

สิ่งที่น่าจับตาในเดือนสิงหาคมนี้ นอกเหนือจากสองคดีสำคัญดังว่า น่าจะเป็นเรื่องการเดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลมากกว่า หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณเพิ่มเติมปีงบฯ 2567 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการเรือธงของรัฐบาลในวาระสองและสามไปแล้ว ต้องรอดูกระบวนการพิจารณาของวุฒิสภาชุดใหม่ งานนี้จะถือเป็นจังหวะโชว์ความเป็นเอกภาพของ สว.สายสีน้ำเงิน หากไม่มีการเตะตัดขา ย่อมมองข้ามช็อตไปได้ยาว ๆ ทุกเรื่องที่เป็นข้อกฎหมายสำคัญของรัฐบาลจะไร้อุปสรรคตลอดอายุการทำงาน

ขณะที่การเปิดให้กลุ่มเป้าหมายที่มีสมาร์ทโฟนลงทะเบียนในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตวันแรกวานนี้ (1 สิงหาคม) เป็นธรรมดาที่จะพบปัญหาความไม่พอใจจากผู้ที่ไม่สามารถดำเนินการได้สำเร็จ ถือเป็นเรื่องปกติของการเข้าร่วมโครงการของภาครัฐที่จะต้องทำผ่านแอปพลิเคชัน ยิ่งหนนี้เป็นแอปพลิเคชันใหม่อย่าง “ทางรัฐ” อาจจะติดขัด ขลุกขลักกันบ้าง แม้ทางรัฐบาลโดย เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยคลังจะยืนยันว่า การให้บริการดังกล่าวรองรับผู้เข้าใช้งานได้ถึง 5 ล้านคนต่อวันก็ตาม

เป็นไปตามคาด เพราะแค่การเปิดให้ลงทะเบียนเพียง 3 ชั่วโมง ปรากฏว่ามีคนแห่แหนไปลงทะเบียนกันมากถึง 5.38 ล้านคน ล้นทะลักกว่าที่คาดหมายกันไว้ นั่นสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของประชาชน ประเด็นที่รัฐบาลต้องรีบวิเคราะห์ และวางแผนคงหนีไม่พ้นเรื่องงบประมาณ เพราะการดำเนินการครั้งนี้ มีการตัดเงินเดิมที่จะใช้จาก ธ.ก.ส.ออกไป จากเม็ดเงินที่วางไว้ 5 แสนล้านบาท เหลือ 4.5 แสนล้านบาท บนการประเมินที่ว่าโครงการของรัฐที่ผ่านมาไม่มีโครงการใดที่มีคนลงทะเบียนร่วมโครงการเกิน 90%

เมื่อยืนยันว่ากลุ่มเป้าหมายยังคงเดิมคือ 50 ล้านคน นั่นหมายความว่า งบประมาณที่ยังไม่ถูกกำหนดไว้อีก 5 แสนล้านบาท คือโจทย์ใหญ่ที่กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ รวมทั้งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องเตรียมการให้พร้อม อย่างไรก็ตาม ทันทีทันใดที่โครงการเริ่มก็ตามมาด้วยข่าวที่ว่า มีพวกหัวหมอเตรียมที่จะให้ผู้ได้รับสิทธิซึ่งประสงค์อยากได้เงินสดแทนการซื้อของ แลกเป็นเงินได้แต่จะได้ไม่เต็มจำนวน 1 หมื่นบาท มีกลิ่นแบบนี้มาตรการตรวจสอบ ป้องกัน และเอาผิดจึงต้องเข้มข้น เด็ดขาดด้วยเช่นกัน

อรชุน

Back to top button