หุ้นเละเดือน ก.ค.

สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ยังไม่มีอะไรที่แตกต่างไปจากเดือนก่อนหน้านี้ เพราะดัชนียังคงวนเวียนไปมาในกรอบ 1,280-1,330 จุดเหมือนเดิม


สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ยังไม่มีอะไรที่แตกต่างไปจากเดือนก่อนหน้านี้ เพราะดัชนียังคงวนเวียนไปมาในกรอบ 1,280-1,330 จุดเหมือนเดิม แต่ในขณะเดียวกันก็พบว่า มีหุ้นหลายตัวที่มีสภาพเละเทะเกินจะบรรยาย ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาทางการเงิน ปัญหาผู้บริหาร และปัญหาธุรกิจ ซึ่งเป็นแรงกดดันที่ทำให้นักลงทุนพากันเทขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยงอย่างดุดันพะย่ะค่ะ

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เชื่อได้ว่า การแกว่งตัวไปมาของดัชนีตลอดทั้งวัน ก่อนจะลงเอยด้วยการยืนปิดที่ระดับ 1,322.75 จุด ลบไป 1.89 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.68 หมื่นล้านบาท ท่ามกลางสตอรี่ TESG กับกองทุนวายุภักษ์ เหมือนเป็นการย้ำหัวหมุดเรื่องฝนห่าเดียว ที่ทำให้หลายคนหัวใจพองโตแค่สั้น ๆ ต่อจากนั้นก็ต้องก้มหน้ารับกรรมกันต่อไป เพราะกองทุนก็ลุยไม่จริง ซึ่งขัดแย้งกับคำพูดที่เปรยให้คนใกล้ตัวเดี๊ยนฟัง ส่วนต่างชาติก็ชอบดันหุ้นมาออกของเป็นประจำแบบนี้..ทำใจเถอะค่ะ

ประเด็นข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” ต้องเอ่ยถึงบรรดาหุ้นที่ทำนักลงทุนกระเป๋าฉีกแบบแสนสาหัส เพื่อเป็นการทบทวนข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น จึงขอไล่เรียงจากหุ้นที่ราคาหุ้นทรุดมาก จนไปถึงหุ้นที่ทรุดหนักสุด และขอเอ่ยถึงเฉพาะหุ้นที่เรา ๆ ท่าน ๆ คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะการไปเอ่ยถึงหุ้นที่ไม่มีสภาพคล่อง และไม่เป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุน คงไม่เกิดประโยชน์อะไรทั้งนั้นไงล่ะคะ

ตัวแรกที่ขอเอ่ยถึงก็คือ หนูมาลีมีลูกแมวเหมียว MALEE หลังราคาหุ้นในเดือน ก.ค. ทิ้งตัวลงมามากถึง 22% จากราคาหุ้นที่เคยยืนอยู่ที่ระดับ 13.60 บาท พอถึงสิ้นเดือนราคาหุ้นลงมายืนอยู่ที่ 10.60 บาทแบบหงอย ๆ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนในการทำธุรกิจสูงขึ้น ผสานกับหลายคนมองว่า ธุรกิจผ่านไฮซีซั่นไปแล้ว จึงไม่มั่นใจผลงานจะออกมาดีเหมือนที่คาดหวังน่ะซี

อีกรายที่ไม่เอ่ยถึง..ก็คงไม่ได้ คงมองไปที่หุ้น TKC ซึ่งเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ในการออกแบบ วางระบบสื่อสารและข้อมูล แต่วันนี้กลับไม่มีใครมองเห็นความยิ่งใหญ่ที่ผ่านมา และกังวลอนาคตจะเป็นเช่นไร? โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งเป็นแรงกดดันที่ทำให้ราคาหุ้นร่วงจาก 10.90 บาท ลงมาที่ระดับ 9.25 บาท หรือลงไป 22% ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน…ทั้งที่เห็นกันทนโท่ว่า BV อยู่ที่ระดับ 10 บาทนะออเจ้า

ส่วนรายที่ราคาหุ้นรูดหนักระดับต้น ๆ คงไม่มีใครเกินกว่า BYD เพราะในช่วงต้นปีมีค่าตัวอยู่ที่ระดับ 5 บาท แต่พอถึงสิ้นเดือน ก.ค. ราคาหุ้นกลับลงมายืนอยู่ที่ระดับ 0.91 บาท ซึ่งคิดเป็นการปรับตัวลงมากถึง 82% ขณะเดียวกันถ้าคิดเฉพาะเดือนเดียวที่ทิ้งตัวลงมาจะเห็นว่า ราคาหุ้นปรับตัวลงถึง 33% แบบนี้ เดี๊ยนมองเป็นเกมเสี่ยงที่นักลงทุนไม่ควรเอาตัวเข้ายุ่ง เพราะวันนี้ยังมองไม่ออกเหมือนกันว่า จะเอาสตอรี่ไหนมาทำให้หุ้นขึ้นเจ้าค่ะ

พลิกโผแบบงง ๆ “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้นท้องฟ้า SKY แบบไม่ลังเลใจ เพราะมองในมุมของผลงาน ก็ยังดีเหมือนเดิม หรือมองในมุมของสตอรี่ใหม่ ๆ ก็มีประเด็นที่น่าสนใจ แต่ทำไมกองทุนขายไม่เลิก พร้อมกับมีคนจุดประเด็นเรื่องการเมืองขึ้นมาแบบนี้ เดี๊ยนถือเป็นสถานการณ์ที่หนักหน่วงจริง ๆ และเข้าใจเหตุผลที่ราคาหุ้นในช่วง 1 เดือนร่วงจากระดับ 24.80 บาท ลงมายืนอยู่ที่ 15.60 บาท หรือลงไป 37% ได้ดีขึ้นจ้า

สำหรับรายที่อนาคตดับวูบ และมองไม่เห็นโอกาสฟื้นตัวในระยะสั้น “โมนิก้า” ขอโฟกัสไปที่หุ้น NEX เพราะมีปัญหาพันตัวไปหมดทุกด้าน จนไม่รู้จะแก้ตรงไหนเป็นลำดับแรก ผนวกกับเจ้าของตัวจริงก็โดนฟอร์ซจนเกือบหมดตูด จึงเป็นเหตุให้ทุกคนเทหุ้นทิ้งแบบไม่มีเยื่อใย พร้อมกับมีคนตั้งคำถามดังอื้ออึงว่า เพิ่มทุน 1 บาท..ใครจะเอา? หลังราคาหุ้นในช่วง 1 เดือนร่วงจากระดับ 1.68 บาท มายืนอยู่ที่ 0.77 บาท หรือลงไป 54% น่ะซี

ปิดท้ายกันที่หุ้นร่วงหนักสุดของตลาดหุ้นไทยอย่าง EA ซึ่งเป็นหุ้นที่มีข่าวฉาวไม่หยุดหย่อนตลอดทั้งเดือน และเป็นหุ้นที่ทำนักลงทุนเจ็บสาหัสกันถ้วนหน้า เพราะราคาหุ้นทิ้งตัวจาก 11.20 บาท ลงมายืนอยู่ที่ 3.60 บาท หรือลงไป 68% แต่ก็มีบางกระแสพูดตรงกันว่า ใหญ่เกินจะล้มได้! เพราะในมุมของธุรกิจน่าจะมีทางออก ส่วนในมุมของราคาหุ้นก็ขึ้นอยู่กับการแก้ปัญหาหนี้สิน จึงต้องดูไปทีละตอน..แล้วเดี๊ยนจะเม้าท์ให้ฟังในวันหน้านะคะ

โมนิก้า: และทีมงาน

Back to top button