Pet Humanization สู่ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง

จากข้อมูล Global Market Insights พบว่า ตลาดการดูแลสัตว์เลี้ยงทั่วโลก ช่วงปี 2565 มีมูลค่ากว่า 280,000 ล้านเหรียญสหรัฐ


จากข้อมูล Global Market Insights พบว่า ตลาดการดูแลสัตว์เลี้ยงทั่วโลก (อาหารสัตว์เลี้ยง, ผลิตภัณฑ์ดูแลสัตว์เลี้ยงและบริการ) ช่วงปี 2565 มีมูลค่ากว่า 280,000 ล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมประเมินว่าระหว่างปี 2566-2575 จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 7% หรือมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 550,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ช่วงปี 2575

ประเทศไทย ถือเป็นผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงอันดับ 6 ของโลก (แต่ส่งออกอาหารสุนัขและแมวเป็นอันดับ 3 ของโลก ด้วยมูลค่าการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง 2,803 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 3.36% ของการส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงของโลก

สำหรับผู้ส่งออก 5 อันดับแรกของโลก คือ 1) เนเธอร์แลนด์ มูลค่า 4,777 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 5.73% 2) เยอรมนี มูลค่า 4,615 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 5.54% 3) สหรัฐอเมริกา มูลค่า 4,397 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 5.27% 4) ฝรั่งเศส มูลค่า 3,380 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 4.05% 5) จีน มูลค่า 2,988 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 3.58%

แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก ส่งผลให้หลายธุรกิจได้รับผลกระทบอย่างหนักและต้องปิดกิจการจำนวนมาก แต่ “ธุรกิจส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง” กลับเติบโตสวนทางอย่างสิ้นเชิง.!!

ที่สำคัญผลพวงการระบาดของโควิด-19 ทำให้ “การเลี้ยงสัตว์เลี้ยง” เป็นหนึ่งในกิจกรรมหลักเพื่อคลายความเครียด เมื่อต้องใช้ชีวิตหรือกักตัวอยู่ที่บ้าน โดยเฉพาะ “สุนัข” และ “แมว” มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากกว่าสัตว์ประเภทอื่น จนกลายเป็นปรากฏการณ์ Pet Humanization แพร่หลายกันอย่างกว้างขวาง

ปรากฏการณ์ Pet Humanization คือพฤติกรรมที่เจ้าของเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงตัวเองเสมือนลูกหรือเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว หรืออาจเรียกว่า Pet Parents ที่พร้อมทุ่มเท ทั้งเงินและการเลี้ยงดู จนแทบไม่ต่างจากมนุษย์ หรือที่คุ้นกันว่า “ทาสหมา” หรือ “ทาสแมว” นั่นเอง..

ผลการสำรวจของ Morgan Stanley Research ระบุว่า เกือบ 70% ของผู้เลี้ยงสัตว์ปัจจุบันให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงตัวเองเสมือนสมาชิกในครอบครัว รองลงมา 66% ของผู้เลี้ยงมีความรักความผูกพันกับสัตว์เลี้ยงตัวเองมาก ขณะที่ 47% ของผู้เลี้ยงยังเลี้ยงสัตว์เลี้ยงของตัวเองเสมือนลูกอีกด้วย และ 37% ของผู้เลี้ยง หาก “สุนัขหรือแมว” ของตนเอง อยากได้อะไร ผู้เลี้ยงเหล่านี้จะหามาให้โดยไม่ลังเลเลย

จึงเป็นโอกาสของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องตามมา เริ่มจาก 1) ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง 2) ธุรกิจการให้บริการสัตว์เลี้ยง เช่น โรงพยาบาล, คลินิก, สถานบริการรับฝากเลี้ยง โรงแรมที่พัก, สปา 3) ธุรกิจสินค้าอุปกรณ์ดูแลสัตว์เลี้ยง 

สำหรับประเทศไทย มีโรงงานอาหารสัตว์เลี้ยงทั้งหมดเกือบ 100 แห่งโดยโรงงานบริษัทต่างชาติ ที่ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออก เช่น Mars Petcare บริษัทสัญชาติอเมริกัน เจ้าของแบรนด์อาหารสุนัข Pedigree, Cesar และอาหารแมว Whiskas และโรงงานบริษัทสัญชาติไทย อาทิ Perfect Companion Group เจ้าของแบรนด์อาหารสุนัข SmartHeart และอาหารแมว Me-O

โดย “ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง” กลายเป็นเรือธงสำคัญของบริษัทผู้ประกอบการธุรกิจอาหาร ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) หลายแห่ง อาทิ เครือเจริญโภคภัณฑ์อาหาร เจ้าของแบรนด์อาหารสุนัข JerHigh และอาหารแมว Jinny, กลุ่มเอเชี่ยนซี มีสัดส่วนรายได้ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงประมาณ 40% ส่วนใหญ่รับจ้างผลิตและมีแบรนด์ตัวเองคือ อาหารสุนัข HAJIKO และอาหารแมว Monchou 

ตามด้วยกลุ่มไทยยูเนี่ยน เจ้าของผลิตภัณฑ์อาหารแมว “เบลล็อตต้า” และอาหารสุนัข “มาร์โว่”, กลุ่มอาร์เอส เจ้าของอาหารสัตว์เลี้ยงแบรนด์ Lifemate และกลุ่มเอ็นอาร์อินสแตนท์ โปรดิวซ์ เจ้าของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงแบรนด์ Katty Boss และ Bravo Boss

ปรากฏการณ์ Pet Humanization กำลังเป็นเมกะเทรนด์โลก “ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง” จึงกลายเป็นขุมทรัพย์ใหม่ในมหาสมุทรสีน้ำเงิน (Blue Ocean) ทันที เพราะนับจากนี้ไป “หมา..แมวไม่ใช่แค่สัตว์เลี้ยง..แต่เป็นสมาชิกในครอบครัว” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว..!!??

สุภชัย ปกป้อง

Back to top button