เลือดนองตลาดหุ้น

ในที่สุดตลาดหุ้นก็มิอาจต้านทานกระแสโลกที่มีความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจชะลอตัว หลังตัวเลขอัตราการจ้างงานของประเทศสหรัฐฯ ต่ำกว่าคาด


ในที่สุดตลาดหุ้นก็มิอาจต้านทานกระแสโลกที่มีความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจชะลอตัว หลังตัวเลขอัตราการจ้างงานของประเทศสหรัฐฯ ต่ำกว่าคาด ผนวกกับตัวเลขอัตราว่างงานก็ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 4.30% จากเดิมคาดกันไว้ที่ระดับ 4.10% จึงกลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกสาดหุ้นทิ้งอย่างหนักหน่วง และทำให้ตลาดหุ้นเละเทะเหมือนกับเกิดปรากฏการณ์ Black Monday พะย่ะค่ะ

โดยตัวเลขที่น่าสนใจของสิ่งที่เกิดขึ้นวานนี้คือ ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงประมาณ 5% หลังจากขึ้นไปทำจุดสูงสุด ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พีร่วงลงประมาณ 7% ส่วนดัชนีแนสแด็กก็ร่วงลงไปถึง 10% พร้อมกับความเชื่อที่ว่า ดัชนีแนสแด็กมีโอกาสร่วงลงไปถึง 20% โดยปัจจัยดังกล่าวก็เป็นแรงกดดันที่ทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงราคาบิตคอยน์ก็ร่วงลงแตะระดับห้าหมื่นเหรียญ ทั้งที่สองเดือนก่อนเคยขึ้นไปถึงระดับเจ็ดหมื่นเหรียญแบบนี้..กระเป๋าฉีกสิคะ

ฉะนั้นการที่หุ้นไทยไหลลงมาปิดที่ระดับ 1,274.67 จุด ลบไป 38.41 จุด หรือลงไปเกือบ 3% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.87 หมื่นล้านบาท ก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดแต่อย่างใด เพราะเมื่อเหลือบดูดัชนีนิกเกอิของประเทศญี่ปุ่นที่ร่วงลงไปถึง 12% และระหว่างที่เปิดเทรดต้องใช้มาตรการเซอร์กิตเบรกเกอร์มาชะลอแรงขายแบบนี้ “โมนิก้า” เดาได้ทันทีว่า วันนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกก็คงเละเป็นโจ๊กอีกวันอย่างไม่ต้องสงสัยเจ้าค่ะ

สาเหตุที่ทำให้เดี๊ยนเชื่อเช่นนั้นเป็นผลมาจากสภาพการเมือง สภาพเศรษฐกิจ และสภาพสังคมของประเทศต่าง ๆ ล้วนมีปัญหากันทั้งนั้น แถมต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหาไปทีละเปลาะแบบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นแรงกดดันที่ทำให้นักลงทุนต้องเร่งขายสินทรัพย์เสี่ยงออกมาอีก หรือมองในมุมของสงครามสู้รบที่พร้อมปะทุขึ้นมาตลอดเวลา ก็เหมือนเป็นการซ้ำเติมให้ทุกอย่างดูเลวร้ายลงไปอีกนะจ๊ะ

ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” ต้องหันมาดูสภาพของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา และช่วงต่อไปจะเป็นเช่นไร? กลับกลายเป็นว่า คนในวงการตลาดเงินตลาดทุนดันสนใจรูปก๊วนกอล์ฟที่พร้อมใจกันเสนอหน้าที่เขาใหญ่ ซึ่งเหมือนเป็นการบอกใบ้ให้สังคมรับรู้ว่า คนเหล่านั้นคือกลุ่มอำนาจที่พร้อมเข้าหากันเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง เดี๊ยนเลยไม่สามารถคาดหวังอะไรจะดีกว่าเดิมไงล่ะคะ

คิดดูแล้วกัน! ขนาดเรื่องปลาหมอคางดำที่สังคมชี้เป้าไปที่ CPF กันทั้งประเทศ แต่สุดท้ายก็ไม่มีคำอธิบายที่จะทำให้ประชาชนหายข้องใจ! จนนำไปสู่การล้อเลียนกันสนุกปากในโลกโซเชียล ก็เป็นเรื่องที่ต้องรอพิสูจน์กันต่อไปในทางกฎหมายแบบนี้ มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นในระยะสั้น เพราะคนเขามองไปในทางเดียวกันว่าปากแข็ง! เดี๊ยนจึงขอตามเรื่องนี้ห่าง ๆ และขอเป็นปากเสียงให้กับทั้ง 2 ฝ่าย เพราะไม่รู้ผลจะออกมาอย่างไร?..อิอิอิ

เช่นเดียวกับในรายของ BTS ก็มีประเด็นที่สังคมตั้งคำถามว่า ไม่ต่อสัมปทานแล้วจะเอาอะไรกิน? ก็เป็นเรื่องที่ต้องตามดูกันห่าง ๆ อีกเช่นกัน เพราะสถานการณ์ตอนนี้กำลังฝุ่นตลบเหลือเกิน แถมนักลงทุนยังไม่เห็นอะไรที่เป็นรูปธรรม จึงกลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยง ผนวกกับบรรยากาศตลาดหุ้นก็ไม่ดีเอาเสียเลย จึงทำให้ราคาหุ้นทำนิวโลว์เรื่อย ๆ นะจะบอกให้

เมาท์ถึงเรื่องนิวโลว์ก็ต้องเอ่ยถึงหุ้น HMPRO เพื่อชี้ให้เห็นการอ่อนตัวลงมาเรื่อย ๆ คงมาจากการที่สภาพเศรษฐกิจค่อนข้างฝืดเคือง จึงไม่สามารถทำผลงานได้ตามที่หลายคนคาดหวัง และการที่หุ้นลงมาปิดที่ระดับ 8.30 บาท ลบไป 0.55 บาท หรือลงไป 6.20% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 612 ล้านบาท พร้อมกับทำโลว์ในรอบ 8 ปี 4 เดือน น่าจะเป็นสัญญาเตือนให้รู้ว่า อาจมีราคาต่ำกว่านี้นะออเจ้า

ตบท้ายกันที่หุ้นเทคอย่าง BE8 กันดีกว่า เพราะถ้าดูจากข้อมูลที่เกริ่นให้ฟังในช่วงต้นว่า แนสแด็กมีโอกาสลงถึง 20% แต่กลายเป็นว่า นับตั้งแต่ต้นปีหุ้นตัวนี้ร่วง 34% เข้าไปแล้ว เดี๊ยนเลยไม่แน่ใจว่า การยืนปิดที่ระดับ 12.40 บาท ลบไป1.60 บาท 11.45% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 20 ล้านบาท พร้อมกับทำ all time low เป็นครั้งที่ 2 แบบนี้..มันหมายความว่า จะมีครั้งที่ 3 เกิดขึ้นอีกใช่หรือเปล่า?..วันนี้ได้รู้กันจ้า!

โมนิก้า: และทีมงาน

Back to top button