พาราสาวะถี

ถามว่าต้องลุ้นอะไรอีกไหม กับการวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกลที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดชี้ขาดวันนี้ สำหรับคนทั่วไปแทบจะชี้นิ้วไปในทางเดียวกันว่า ไม่รอด


ถามว่าต้องลุ้นอะไรอีกไหม กับการวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกลที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดชี้ขาดวันนี้ (7 สิงหาคม) สำหรับคนทั่วไปแทบจะชี้นิ้วไปในทางเดียวกันว่า ไม่รอด ความมั่นใจในเชิงท้าทายทั้งของแกนนำและบรรดา สส.ของพรรคสีส้ม ก็เป็นเพียงการปลอบประโลม ให้กำลังใจต่อกัน ทำนองใจดีสู้เสือ เผื่อมีปาฏิหาริย์ ทั้งที่ความจริงย่อมเข้าใจความเป็นไปของบ้านเมือง และการเมืองแบบไทย ๆ ทุกอย่างมีต้นทุนที่ต้องจ่าย เมื่อทายท้าแบบสุดโต่งก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมา

ถึงนาทีนี้บรรดาพรรคการเมืองทั้งหลาย โดยเฉพาะคู่แข่งอย่างเพื่อไทยก็ได้แต่ให้กำลังใจ ยืนยันหากก้าวไกลถูกยุบจริงจะไม่ดึง สส.ของพรรคนี้มาร่วม เป็นธรรมดาของพรรคที่มีชะตากรรมถูกยุบมาแล้วถึงสองหน ถ้ารวมไทยรักษาชาติไปด้วย ก็เรียกว่าทำแฮตทริกของการถูกยุบเลยทีเดียว ย่อมเข้าใจหัวอกของผู้ถูกกระทำเป็นอย่างดี แต่ทางการเมืองทุกอย่างต้องเดินหน้า บรรดาผึ้งแตกรังจะย้ายเข้าคอกไหนก็เป็นธรรมชาติของนักเลือกตั้งที่ต้องการความมั่นคง ส่วนก้าวไกลก็ต้องแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่เพื่อทำงานตามแนวทางของตัวเองต่อไป

ฟากความเคลื่อนไหวของรัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน รอลุ้นคดีของตัวเองที่ศาลรัฐธรรมนูญจะชี้ขาดในวันที่ 14 สิงหาคมนี้ ดังนั้น ประเด็นที่พรรครวมไทยสร้างชาติเสนอชื่อ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อและเลขาธิการพรรค ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีแทนโควตาของพรรคที่หายไป 1 เก้าอี้ จากการไขก๊อกพ้นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังของ กฤษฎา จีนะวิจารณะ นายกรัฐมนตรีบอกไม่มีปัญหาพร้อมทำตามที่เสนอ แต่คงต้องให้พ้นช่วงคดีความสำคัญไปก่อน 

เหมือนจะไม่มั่นใจ หากพิจารณาจากเนื้อหาที่เศรษฐาสื่อสาร การที่บอกว่าถ้าจะปรับ ครม.ก็รอให้พ้นช่วงเดือนสิงหาคมไปก่อน นั่นหมายความว่า จะไม่ได้มีการแต่งตั้งเพิ่มแค่ในสัดส่วนของรวมไทยสร้างชาติเท่านั้น น่าจะมีการปรับเปลี่ยนกันอีกระลอก ทันทีทันใดที่มีข่าวปรับ ครม.ออกมา ชื่อของ สุทิน คลังแสง ก็จะมาแรงตลอด ด้วยการที่เป็นพลเรือนไปนั่งเป็นว่าการกลาโหม ย่อมถูกมองว่าเป็นการอยู่ไม่ถูกที่ถูกทาง ทั้งหมดขึ้นอยู่กับคนเคาะว่า เหมาะสมและการทำงานที่ผ่านมาเข้าตาหรือไม่

เหตุผลอีกประการที่นายกฯ ต้องการจะดึงเกมการปรับ ครม.ออกไปหลังเดือนสิงหาคมนั้น คงจะเป็นเรื่องการวางบทบาทของ ทักษิณ ชินวัตร หลังจากพ้นโทษแล้วในวันที่ 22 สิงหาคม อาจดูเหมือนว่าหัวโขนที่ปรึกษาหรือตำแหน่งอะไรก็แล้วแต่ที่จะแต่งตั้งให้มาช่วยงานรัฐบาลนั้น ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเรื่องนี้ เพราะถือเป็นอำนาจของเศรษฐาแต่เพียงผู้เดียว ทว่าในทางปฏิบัติรู้กันอยู่แล้ว ใครคือผู้มีอำนาจที่แท้จริง เหมือนการปรับหนที่ผ่านมา เห็นกันอยู่ว่าทุกอย่างต้องได้รับไฟเขียวจากนายใหญ่เท่านั้น

ส่วนสายสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาล นอกเหนือจากความแนบแน่นระหว่างเพื่อไทยกับภูมิใจไทยแล้ว รวมไทยสร้างชาติซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพรรคที่มีดีเอ็นเอของอนุรักษนิยมร้อยเปอร์เซ็นต์ ต้องเลือกที่จะอยู่ให้เป็น เหมือนที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ฝากฝังไว้ในวันที่ไปร่วมงานศพแม่ของเศรษฐา แม้โดยฐานะจะไม่ข้องแวะกับเรื่องทางการเมือง แต่ก็เป็นที่รู้กันผู้บริหารของพรรคการเมืองแห่งนี้ต่างก็เคารพ และเกรงใจ พร้อมรับคำสั่งจากอดีตผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเต็มที่

เช่นเดียวกันกับ บรรดาพลพรรคค่ายพลังประชารัฐ ที่บิ๊กตู่ถามต่อหน้าเศรษฐาว่าดื้อหรือไม่ ทั้งที่ในความสัมพันธ์ก็เห็นกันอยู่ว่า คนของพรรคนี้คือเด็กในการดูแลของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. ทว่าน้องเล็กที่เคยรักยังกล้าที่จะชี้แนะให้ความร่วมมือในการทำงานกับนายกฯ อย่างเต็มกำลัง ย่อมเป็นการสื่อให้เห็นว่าจุดกำเนิดของรัฐบาลปัจจุบัน และจังหวะก้าวที่ต้องเดินไปข้างหน้านั้น ล้วนแล้วแต่ได้รับการยอมรับจากผู้มีอำนาจจากกลุ่มอำนาจเก่า และเครือข่ายขาใหญ่ที่ให้การสนับสนุนเผด็จการสืบทอดอำนาจอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูนั่นเอง

เมื่อภาพเป็นเช่นนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะทำให้มองต่อไปได้ว่า สถานะทางการเมืองของคนบ้านในป่านั้น คือการนับถอยหลังรอจังหวะที่จะวางมือให้สวยหรูเท่านั้น การรุกคืบของผู้มีบารมีในฝ่ายกุมอำนาจปัจจุบัน สั่นคลอนความมั่นคงของพรรคสืบทอดอำนาจอย่างหนัก มากไปกว่านั้น สส.ส่วนใหญ่รอวันที่จะย้ายสังกัดกันแล้ว มันจึงทำให้เห็นความจริงประการหนึ่งว่า ไม่ว่าจะรัฐประหารกันกี่รอบ ไม่ว่าจะวางกรอบ กำหนดกลไกเพื่อบอนไซนักการเมืองและพรรคการเมืองกันแบบไหน สุดท้ายคนเหล่านั้นก็จะกลับมารวมตัวกันได้อยู่ดี แค่รอจังหวะ เวลาที่เหมาะสมเท่านั้น

ไม่ต่างกันกับบรรยากาศของวุฒิสภา รัฐประหารสองหนไม่อยากให้มี สว.จากการเลือกตั้ง ด้วยข้ออ้างไม่ต้องการให้เกิดสภาผัวเมีย สภาญาติพี่น้อง ปรากฏว่าพอมี สว.จากการเลือกกันเองที่น่าจะพิสดารพันลึกที่สุดในโลก ท้ายที่สุดก็ได้สภาสูงที่สามารถกดปุ่มสั่งได้ ไม่ว่ากฎ กติกา จะวางไว้ให้ยุ่งยาก ซับซ้อนเพียงใด สุดท้ายพวกเขี้ยวลากดินก็มองเห็นวิธีการแก้ลำ จนนำไปสู่ผลของการได้ สว.สายสีน้ำเงิน และเริ่มแสดงฤทธิ์เดชกันแล้ว

การประชุมเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ฉายภาพชัดการจัดตั้งและกินรวบเป็นขบวนการที่ชัดเจน ต่อการพิจารณาตั้งคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุด หรือ อสส. ที่พบว่ามีการล็อกตัวบุคคลไว้เรียบร้อยแล้วทั้ง 15 คน จนทำให้กลุ่ม สว.พันธุ์ใหม่ และกลุ่มอิสระแสดงความไม่พอใจ กระทั่งเกิดการวอล์กเอาต์เมื่อมีการลงคะแนนเพื่อเลือกผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อ 34 คนให้เหลือตามจำนวนที่กำหนด

ไม่เพียงแต่ทำให้เห็นภาพการกินรวบเก้าอี้กรรมาธิการดังกล่าวของ สว.สายสีน้ำเงินเท่านั้น แต่ยังทำให้เห็นการทำหน้าที่ของทีมงานประมุขสภาสูงด้วย ทุกอย่างถูกจัดวางไว้หมดแล้ว ทำให้ สว.สองกลุ่มที่วอล์กเอาต์พากันสรุปว่า นี่เป็น “วุฒิสภาเผด็จการ” บอกแล้วว่ารัฐประหารไม่ได้ช่วยอะไร จากเสียของกลายเป็นเสียหาย แล้วใครจะรับผิดชอบ ไม่ต้องถามถึงจุดนั้น เพราะพวกที่ร่างรัฐธรรมนูญยังบอกว่า อะไรที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ไม่ใช่ความรับผิดชอบของพวกตน ปัญหาที่เกิดให้ไปหาทางแก้กันเอาเอง เจริญฮวบ ๆ จ้า

อรชุน

Back to top button