คุณปู่..ผู้ที่มาก่อนกาล
ตำราเล่มหนึ่งที่ “โมนิก้า” ชอบอ่านเพื่อศึกษาแนวคิดการลงทุนตั้งแต่สมัยเอ๊าะ ๆ ก็คือ ตำราที่พูดถึงวิธีคิดในการลงทุนของ “วอร์เรน บัฟเฟตต์”
ตำราเล่มหนึ่งที่ “โมนิก้า” ชอบอ่านเพื่อศึกษาแนวคิดการลงทุนตั้งแต่สมัยเอ๊าะ ๆ ก็คือ ตำราที่พูดถึงวิธีคิดในการลงทุนของ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” เพราะเป็นการสื่อให้เห็นกลยุทธ์ในการลงทุนที่ชาญฉลาด และสามารถเอาชนะตลาดหุ้นได้เป็นประจำ โดยหลักคิดดังกล่าวประกอบได้ด้วย “ซื้อหุ้นดีที่ราคาเหมาะสม” และ “เชื่อในเรื่องคุณค่ามากกว่าราคา” ซึ่งเป็นหลักความคิดที่แพร่หลายตั้งแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบันไงล่ะคะ
ที่น่าสนใจคือ หุ้นที่สร้างความมั่งคั่งให้กับคุณปู่ล้วนแต่เป็นหุ้นดังทั้งนั้น เช่น American Express, Wells Fargo, Gillette, P&G, IBM และ Bank of America ฯลฯ แต่ทันทีที่คุณปู่ทยอยขายหุ้นออกมา ก็รู้ได้ทันทีว่า หุ้นตัวดังกล่าวน่าจะถึงจุดพีกของการทำธุรกิจ และการขายในจังหวะนี้น่าจะได้ราคาดีสุดอีกด้วย เดี๊ยนถึงอยากให้นักลงทุนจับตาสถานการณ์ของผู้เล่นรายใหญ่มากเป็นพิเศษพะยะค่ะ
โดยเฉพาะเมื่อไล่เรียงข้อมูลก่อนหน้านี้จะเห็นว่า มีการตัดขายหุ้นแอปเปิลที่มีอยู่ออกไปครึ่งหนึ่ง ทำให้มีหุ้นคงเหลือในมืออีกราว 400 ล้านหุ้น ขณะที่ก่อนหน้านี้มีการขายหุ้น Bank of America ออกมา 12 วันติด และถ้าย้อนกลับไปอีกจะเห็นว่า คุณปู่ได้ขายหุ้น BYD ที่ถืออยู่ราว 10% ออกมาเรื่อย ๆ จนเหลือหุ้นที่ถืออยู่แค่ 5% และทำให้คุณปู่ถือเงินสดมากถึง 2.77 แสนล้านดอลลาร์แบบนี้..เหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้นักลงทุนระวังตัวมากขึ้นอะป่าว?
งานนี้จะจริงเท็จอย่างไร..ก็ต้องรอพิสูจน์กันต่อไป แต่อย่างน้อยก็ทำให้ “โมนิก้า” รับรู้ถึงสถานการณตลาดหุ้นที่ไม่ปกติ ซึ่งส่งผลให้การยืนปิดที่ระดับ 1,274.01 จุด ลบไป 0.66 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.82 หมื่นล้านบาท เหมาะต่อการเล่นเก็งกำไรสั้น ๆ เพียงอย่างเดียว เพราะสิ่งที่น่าห่วงสำหรับการลงทุนในตอนนี้ก็คือ ผลงานของบริษัทส่วนใหญ่จะเป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่นะจะบอกให้
เหมือนกับแรงขายที่สาดใส่หุ้น MINT เป็นเวลานานถึง 6 วันติด พร้อมกับมีการแสดงความคิดเห็นต่อผลงานไตรมาส 2 ต่ำกว่าคาด “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องของความผิดหวังที่บังคับให้สถาบันต้องขายหุ้นออกมาก่อน จึงทำให้ราคาหุ้นลงมายืนอยู่ที่ 25.50 บาท ลบไป 1.50 บาท หรือลงไป 5.55% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.38 พันล้านบาท พร้อมกับทำราคาต่ำสุดในรอบ 1 ปี 9 เดือนแบบนี้..เดี๊ยนบอกได้คำเดียวว่า อยู่ห่าง ๆ ไว้ก่อนดีกว่านะจ๊ะ
เช่นเดียวกับการลงมาทำโลว์ในรอบ 3 ปี 9 เดือนของหุ้น CRC เหมือนเป็นการย้ำหัวหมุดเรื่องกำลังซื้อยังไม่ฟื้น และเรื่องนี้ก็ถูกตอกย้ำด้วยกำไรไตรมาส 1 ไม่โต ทั้งที่ไตรมาสดังกล่าวเป็นช่วงที่มีเม็ดเงินสะพัดสุดในระบบเศรษฐกิจ ขณะที่ไตรมาส 2 เป็นห้วงเวลาของการเริ่มเข้าโลว์ซีซั่น เดี๊ยนเลยมองว่า การยืนปิดที่ระดับ 26.25 บาท ลบไป 1.25 บาท หรือลงไป 4.55% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 618 ล้านบาท อาจไม่ใช่ราคาต่ำสุดของเที่ยวนี้นะซี
ขนาดในรายของหุ้น BANPU ปรับตัวลงมาค่อนข้างเยอะ และเดี๊ยนก็เชียร์ให้หุ้นหยุดลงเสียที แต่สุดท้ายก็ยังทำ “นิวโลว์แล้ว นิวโลว์อีก” เดี๊ยนเลยมองว่า การลงมายืนที่ระดับ 4.44 บาท ลบไป 0.14 บาท หรือลงไป 3% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 499 ล้านบาท เกี่ยวข้องกับเรื่องผลงานของบริษัท ซึ่งเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในไตรมาส 1 และเผลอ ๆ ไตรมาส 2 อาจขาดทุนก็เป็นไปได้ ซึ่งคล้ายกับเหตุการณ์เมื่อปี 66..ลองไปหาดูกันเอาเองนะจ๊ะ
อีกรายที่ยังหาก้นเหวไม่เจอ และยังมีแรงขายออกมาเป็นระยะ “โมนิก้า” ขอมองไปที่หุ้น AP เป็นรายถัดมา เพราะการทิ้งตัวลงมาปิดที่ระดับ 7.50 บาท ลบไป 0.25 บาท หรือลงไป 3.25% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 156 ล้านบาท พร้อมกับทำราคาต่ำสุดในรอบ 3 ปี ท่ามกลางธุรกิจอสังหาฯ ย่ำแย่กันเป็นแถบแบบนี้ กลายเป็นไฟต์บังคับที่ทำให้นักเล่นต้องถอยแบบสุดตัว เพราะของมันแบเบอร์ว่า กำไรลดฮวบแน่นอนจ้า!
ตบท้ายกันที่หุ้น SAWAD เพื่อชี้ให้เห็นกระแสที่แมงลือเม้าท์กันไม่เลิก ก็เป็นเรื่องของคดีความที่ยังเป็นเรื่องเป็นราวในเวลานี้ มันส่งผลกระทบโดยตรงกับความเชื่อมั่น ผนวกกับภาวะเศรษฐกิจไม่เป็นใจให้ทำผลงานโดดเด่นเหมือนเมื่อก่อน (กำไรโตปีละ 30%) วานนี้ถึงเห็นราคาหุ้นทรุดตัวลงมาปิดที่ 29.25 บาท ลบไป 0.75 บาท หรือลงไป 2.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 294 ล้านบาท พร้อมกับทำโลว์ในรอบ 6 ปีแบบนี้..กล้าช้อนกันไหมล่ะ!
โมนิก้าและทีมงาน