พาราสาวะถี
ไม่มีปาฏิหาริย์อะไร ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ยุบพรรคก้าวไกล พร้อมตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 10 ปี ส่งผลให้ สส.พรรค 5 คนหลุดเก้าอี้ทันที
ไม่มีปาฏิหาริย์อะไร ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ยุบพรรคก้าวไกล พร้อมตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 10 ปี ส่งผลให้ สส.ของพรรค 5 คนหลุดเก้าอี้ทันที ประกอบด้วย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคขณะนั้น ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคขณะนั้น เบญจา แสงจันทร์ สุเทพ อู่อ้น อภิชาต ศิริสุนทร ทั้งหมดเป็น สส.บัญชีรายชื่อ และอีก 1 คนเป็น สส.เขต 1 พิษณุโลก คือ ปดิพัทธ์ สันติภาดา ซึ่งถูกขับออกจากพรรคไปสังกัดพรรคเป็นธรรมก่อนหน้า
กรณีของปดิพัทธ์ทำให้หลุดจากเก้าอี้รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ไปด้วย และต้องมีการเลือกตั้งซ่อม สส.เขต 1 พิษณุโลกใหม่ ส่วน สส.ก้าวไกลจากทั้งหมด 148 คน เหลือ 143 คน น่าติดตามว่าจะเหลือจำนวนกี่คนที่จะย้ายตามไปสังกัดพรรคการเมืองใหม่ที่เตรียมรอไว้ กี่คนที่จะถูกพลังดูด ผลดังกล่าวยังอาจมีน้ำหนักต่อการดำเนินคดีจริยธรรมกับ 44 สส.ที่เข้าชื่อยื่นเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่..) พ.ศ…. เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งอยู่ในการพิจารณาขอ งป.ป.ช.ด้วย โดยปัจจุบันเหลือที่เป็น สส. 30 คน สถานการณ์ยังต้องลุ้นกันอีกหลายเด้ง
ด้าน เศรษฐา ทวีสิน ปฏิเสธให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ย้ำว่าตนอยู่ฝ่ายบริหารไม่เกี่ยวกับพรรคการเมืองที่ทำงานในฝ่ายนิติบัญญัติ พร้อมกับยืนยันไม่รู้เรื่องข่าวรัฐมนตรีหรือคนในรัฐบาลกว้านซื้อตัว สส.งูเห่าจากก้าวไกล ซึ่งความจริงเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย นอกจากนั้น ท่านผู้นำยังย้อนบอกนักข่าวหลังถูกจี้ถามว่า สส.ก้าวไกลยืนยันมีความเคลื่อนไหวดังกล่าวจริงว่า ถ้ามีจริงก็ให้เอาหลักฐานมาแสดง และดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม
ถือเป็นการยึดหลักการที่ถูกต้อง แต่ความจริงเป็นอันรู้กันพฤติกรรมทั้งหลายเหล่านี้ ไม่มีใครที่จะโง่พอทิ้งร่องรอยของการเจรจา หรือหลักฐานการส่งมอบผลประโยชน์ตามที่ได้ตกลงกันไว้ เหมือนที่บอกเป็นธรรมดาของนักเลือกตั้งประเภทเข้ามาเพื่อหวังตั้งตัวได้ มีจังหวะ โอกาส พร้อมข้อเสนอที่ยากปฏิเสธถ้าไม่ได้ยึดมั่นในอุดมการณ์ใด ๆ และยังได้อยู่ร่วมขบวนฝ่ายกุมอำนาจด้วย ใครจะไม่ตอบตกลง พรรคที่ถูกดูดจึงต้องทำใจสถานเดียว
ความจริงเพื่อไทยในฐานะที่เคยถูกยุบมาสองหนในนามไทยรักไทย และพลังประชาชน ย่อมรู้ดีถึงความเป็นไปในลักษณะนี้ โดยเฉพาะหลังการยุบพรรคพลังประชาชน ที่เกิดงูเห่าภาคสอง มีการไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร แต่ครั้งนั้นมีหลายปัจจัยที่ทำให้แกนนำกลุ่มกบฏต้องตัดสินใจทำเช่นนั้น ไม่ใช่การถูกดูดเข้าพรรคการเมืองอื่น แต่เป็นการตั้งพรรคขึ้นมาใหม่จนเป็นภูมิใจไทยมาถึงปัจจุบัน ซึ่งหากมองในแง่ของผลประโยชน์ที่ได้รับข้อเสนอเวลานั้น ต้องบอกว่ามหาศาลเหลือเกินกับการเปลี่ยนสีเสื้อ
อย่างไรก็ตาม น่าสนใจก่อนที่จะมีการตัดสินคดียุบพรรค แสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กยกเอาสถิติการยุบพรรคการเมืองในทวีปยุโรปมาอธิบายถึงกระบวนการดำเนินการตามกฎหมายของสำนักงาน กกต. ทำให้เรื่องนี้ประธาน กกต.ต้องออกมาบอกว่าไม่มีนัยใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นการชี้แจง ทำความเข้าใจตามบทบาทหน้าที่ของเลขาฯ กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือเป็นความเห็นของ 7 เสือ กกต.แต่อย่างใด
เสร็จสิ้นคดีของก้าวไกล ก็ลุ้นกันต่อวันพุธหน้า เศรษฐาจะได้ไปต่อหรือตกเก้าอี้ เมื่อพิจารณาจากท่วงทำนองทางการเมืองแล้ว มองเห็นแนวโน้มของผลที่จะออกมาว่าเป็นอย่างไร ประเด็นที่คอการเมืองทั้งหลายมองข้ามช็อตย่อมหนีไม่พ้นการปรับ ครม. จะเพียงแต่เติมคนของพรรครวมไทยสร้างชาติเข้าไปในส่วนที่ว่าง 1 ตำแหน่ง หรือเขย่าในส่วนของเพื่อไทยเพิ่มด้วย เพราะทางภูมิใจไทย อนุทิน ชาญวีรกูล ยืนยันแล้วว่า ไม่มีการปรับเปลี่ยนแต่อย่างใด
หากยึดตามที่เศรษฐาว่า รอให้พ้นเดือนสิงหาคมไปก่อนแล้วค่อยมาว่ากันด้วยเรื่องปรับ ครม. ก็น่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนในส่วนของเพื่อไทยด้วย เพราะช่วงเวลานั้น ทักษิณ ชินวัตร จะเข้ามามีบทบาทร่วมทั้งในรัฐบาลและพรรคแกนนำ เป็นไปไม่ได้ที่นายกฯ จะไม่ปรึกษาหรือขอความเห็นจากอดีตนายกฯ ในฐานะผู้ที่รู้แจ้งเห็นจริงถึงการทำงานในส่วนรัฐมนตรี และความต้องการของ สส.หรือแกนนำกลุ่ม ก๊วนของพรรคนายใหญ่ จึงต้องอาศัยจังหวะนี้ขยับเพื่อให้ทุกอย่างลงตัว รับกับการเดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ตแบบเต็มสูบด้วย
ภาพสะท้อนรูปรอยการทำงานแบบเข้าขากันระหว่างเพื่อไทยกับภูมิใจไทยนั้น สังเกตได้จากการประชุมวุฒิสภาเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ต่อการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2567 วงเงินไม่เกิน 1.22 แสนล้านบาทเพื่อดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่เห็นว่ามีการยกเว้นข้อบังคับการประชุมไม่ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญมาพิจารณา ใช้การพิจารณาแบบเต็มสภา เพื่อผ่าน 3 วาระรวดในวันเดียว
เป็นการยืนยันความเป็นเอกภาพของ สว.สายสีน้ำเงิน เป็นการตอกย้ำสิ่งที่บอกไว้ตั้งแต่ต้น การจัดวางอำนาจในสภาสูงไม่ใช่เพื่อกดดันการทำงานของเพื่อไทย แต่จะเป็นการสอดประสานเพื่อให้การทำงานโดยเฉพาะข้อกฎหมายที่สำคัญของรัฐบาลไม่ติดขัด เพียงแต่กระบวนการที่ลื่นไหลเหล่านั้น ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนที่ทางพรรคภูมิใจไทยเป็นผู้กำหนด บทบาทเช่นนี้ย่อมมีอำนาจ และพลังมากกว่าการที่เสี่ยหนูจะต้องได้เป็นนายกฯ เสียอีก
ต้องยอมรับว่าการเดินเกมการเมืองของพรรคสีน้ำเงินนับตั้งแต่รัฐบาลในค่ายทหาร ว่างเว้นช่วง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ครองอำนาจและรัฐบาลเผด็จการ พอเข้าร่วมรัฐบาลสืบทอดอำนาจก็อยู่ในฐานะฝ่ายยื่นข้อเสนอ และต้องได้รับการตอบสนองมาโดยตลอด หนนี้ก็เช่นกัน นับแต่เริ่มตั้งรัฐบาลพลิกขั้ว กระทั่งมาถึงปัจจุบัน การมีเสียง สว.อยู่ในความดูแล ยิ่งทำให้การเจรจาต่าง ๆ ง่ายขึ้น หลังจากนี้หากได้เห็นตัวเลขของพวกแปรพักตร์ด้วยแล้ว ยิ่งจะเพิ่มอำนาจในการต่อรองให้มากขึ้นไปอีก นี่คือการเมืองที่มีแต่ได้กับได้
อรชุน