หลอกไปทุบ?
ประเด็นที่ “โมนิก้า” อยากจะเตือนพวก “มือไว ใจกล้า” คงมีแค่ออกของให้ทัน เพราะตลาดหุ้นไทยคงวนเวียนไปมาที่ระดับ 1,280-1,330 จุดไปอีกนาน
ประเด็นที่ “โมนิก้า” อยากจะเตือนพวก “มือไว ใจกล้า” คงมีแค่ออกของให้ทัน เพราะตลาดหุ้นไทยคงวนเวียนไปมาที่ระดับ 1,280-1,330 จุดไปอีกนาน เพราะเมื่อดูจากสภาพเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม มันไม่เอื้อให้หุ้นไทยไปต่อยาว ๆ ผนวกกับตลาดหุ้นไทยยังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของตลาดหุ้นต่างประเทศ จึงไม่เชื่อว่า กองทุนในประเทศจะลุยหุ้นแบบสุดซอยเหมือนที่ป่าวประกาศปาว..ๆ น่ะซี
งานนี้ใครจะหาว่า “โมนิก้า” เป็นโรคกลัวจนขึ้ขึ้นสมองก็ช่างหัวปะไร! เพราะอย่างน้อยเดี๊ยนก็ได้ทำหน้าที่วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา และไม่ได้ฝักใฝ่การเมืองแบบไม่ลืมหูลืมตา จึงรู้สึกสมเพชทุกครั้งที่เห็นนักโทษอย่าง “โทนี่” ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องเศรษฐกิจ เพราะพวกคุณไม่ใช่เหรอที่ทำให้ค่าไฟแพงจนถึงทุกวันนี้ รวมถึงเรื่องน้ำมันแพงก็ยังไม่มีทีท่าจะลดลงแบบนี้..แล้วเศรษฐกิจจะดีขึ้นได้อย่างไรล่ะจ๊ะ
โดยเฉพาะคำพูดของ “เอ๋ง เอ๋ง” ที่เม้าท์กันจนติดหูที่ว่า “มีกิน มีใช้ มีเกลียด มีศักดิ์ศรี ไปพร้อมกัน” มันสรุปได้ทันทีว่า มีกิน..น่าจะหมายถึงมีปลาหมอคางดำให้กิน ส่วนที่ว่ามีใช้..น่าจะหมายถึงได้ใช้หนี้กันบาน และมีเกลียด..น่าจะหมายถึงคนเขาเกลียดมากขึ้น หรือแม้กระทั่งมีศักดิ์ศรี..เอาเข้าจริงก็ไม่มีศักดิ์ศรี และตบท้ายที่ว่าไปพร้อมกัน..น่าจะหมายถึงพวกเอ็งน่าจะไปให้หมดพร้อมกันกระมัง…อิอิอิ
ด้วยเหตุดังกล่าวอย่าหาว่า เดี๊ยนมีอคติกับคนเหล่านี้เลย แต่เป็นเพราะผู้คนในสังคมเขาก่นด่า และล้อเลียนกันไม่หยุดหย่อน “โมนิก้า” จึงต้องนำเรื่องราวดังกล่าวมาถ่ายทอดให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรับรู้กันอีกครั้ง และตราบใดที่มัวแต่ให้ราคา “โทนี่” สังคมก็จะมีคำถามมากขึ้น ผนวกกับการที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว ก็จะทำให้การพุ่งพรวดของดัชนีขึ้นมาปิดที่ระดับ 1,290.55 จุด บวกไป 16.54 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4 หมื่นล้านบาท เหมือนการหลอกไปทุบนะตัวเอง!
ความกังวลต่อเรื่องต่าง ๆ มากมายก่ายกอง ทำให้เดี๊ยนต้องเอ่ยถึงหุ้น BTS ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะการทรุดตัวลงทำนิวโลว์เป็นระยะ ถือเป็นเรื่องที่น่ากังวลมาก ๆ เพราะสื่อเป็นนัยว่า นักลงทุนไม่มั่นใจอนาคตของบริษัท จึงพากันถอนสมอเพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน และตรงนี้เองที่ทำให้ราคาหุ้นลงมายืนปิดที่ระดับ 3.76 บาท ลบไป 0.22 บาท หรือลงไป 5.55% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 665 ล้านบาทแบบไร้เรี่ยวแรงขัดขืนจ้า
เช่นเดียวกับในรายของ PTTGC ก็มีประเด็นเกี่ยวกับโรงงานปิโตรเคมีจีนผุดเป็นดอกเห็ดในช่วงโควิด และเมื่อพ้นช่วงโรคระบาดหนัก ก็มีกำลังการผลิตป้อนในประเทศอย่างเหลือเฟือ ส่งผลให้ปิโตรเคมีทั่วโลกปั่นป่วนอย่างหนัก เพราะกำลังการผลิตเหลือเยอะมาก ซึ่งกระทบโดยตรงกับทำกำไร และการที่หุ้นลงมาปิด 23.80 บาท ลบไป 0.30 บาท หรือลงไป 1.25% ด้วยมูลค่า 683 ล้นบาท พร้อมกับทำโลว์อีกครั้ง ก็เป็นภาพที่บอกให้รู้ว่า บริษัทอาจมีปัญหานะจะบอกให้
คล้ายกับหุ้นโรงหมอ BCH ก็อยู่ในสถานการณ์มุดหัวลงลูกเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก ๆ เพราะหุ้นโรงหมอรายอื่นกลับยืนต้านแรงขาย และพยายามยกตัวสูงขึ้นตลอดเวลา “โมนิก้า” เลยขอเดาว่า การลงเที่ยวนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับผลงานไตรมาส 2 รวมทั้งการทิ้งตัวลงต่อเนื่อง ก่อนจะปิดไปที่ระดับ 15.70 บาท ลบไป 0.60 บาท หรือลงไป 3.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 286 ล้านบาทแบบนี้..มีโอกาสลงต่อสูงจ้า
ส่วนหุ้นโรงกลั่นที่ทิ้งตัวลงแรงอย่าง SPRC น่าจะมีสาเหตุมาจากการรื้อโครงสร้างราคาพลังงานทั้งหมด และพวกโรงกลั่นน่าจะได้รับผลกระทบหนักพอสมควร เพราะสูตรการคำนวณค่าการกลั่นจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จึงทำให้พวกนกรู้ทยอยขายหุ้นเพื่อลดความไม่แน่นอนของประเด็นดังกล่าว วานนี้ถึงเห็นหุ้นลงมายืนปิดที่ระดับ 7 บาท ลบไป 0.35 บาท หรือลงไป 4.75% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 182 ล้านบาท พร้อมกับทำราคาต่ำสุดในรอบ 3 ปี 8 เดือนไงล่ะจ๊ะ
อีกหนึ่งตัวอย่างที่อธิบายเรื่องความกังวลได้ดี ก็คือแรงขายที่สาดใส่หุ้น GLOBAL แบบไม่มีเยื่อใย ทั้งที่กำไรไตรมาส 2 บริษัทสามารถทำให้ โต 9% แต่เมื่อดูตัวเลขในช่วง 6 เดือนกลายเป็นว่า กำไรลด 6% เลยสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนว่า ครึ่งปีหลังจะไม่โต ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นทรุดตัวลงมาปิดที่ 13 บาท ลบไป 1 บาท หรือลงไป 7.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 422 ล้านบาทแบบนี้..ลงยาวแน่ ๆ พะย่ะค่ะ
โมนิก้า: และทีมงาน