เฟ้นหาหุ้นหลบมรสุมรุมเร้า
แม้กูรูส่วนใหญ่จะพยากรณ์ไว้ก่อนแล้วว่าตลาดหุ้นไทยในเดือนสิงหาคม 2567 จะมีความผันผวนจากหลากหลายปัจจัยให้จับตามอง
เส้นทางนักลงทุน
แม้กูรูส่วนใหญ่จะพยากรณ์ไว้ก่อนแล้วว่าตลาดหุ้นไทยในเดือนสิงหาคม 2567 จะมีความผันผวนจากหลากหลายปัจจัยให้จับตามอง ทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกประเทศก็ตาม แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าการซื้อขายวันแรกของสัปดาห์ (5 สิงหาคม 2567) ของตลาดหุ้นโลก จะรูดระเนระนาดกันขนาดนี้
โดยเฉพาะตลาดหุ้นฝั่งเอเชีย นำโดยดัชนี Nikkei 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่ลดลง 4,451.28 จุด หรือ 12.40% มาอยู่ที่ 31,458.42 จุด ตามด้วยตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ไต้หวัน ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) หลุดลงมาอยู่ที่ 1,274.67 จุด ตกลงไปแรงถึง 38.41 จุด ติดลบ 2.93% เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลกที่แดงยกแผง
ในส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้น มีปัจจัยในประเทศที่กดดันอยู่คือ เรื่องทางการเมืองที่มีสถานการณ์ความไม่แน่นอน เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินคดียุบพรรคก้าวไกลในวันที่ 7 สิงหาคม และคดีสถานะของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ในวันที่ 14 สิงหาคมนี้
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยประเด็นความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับกรณีบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA มีแนวโน้มอาจจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาหุ้นกู้ที่กำลังจะครบกำหนดไถ่ถอน มูลค่า 1.5 พันล้านบาท ในเดือนสิงหาคม และมูลค่า 4 พันล้านบาท ในเดือนกันยายน 2567 ได้ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบกับความเชื่อมั่นของตลาดไปจนกว่าจะมีความชัดเจนเกิดขึ้น
ส่วนปัจจัยภานนอกประเทศคือ ความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะถดถอย เมื่อตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรต่ำคาด รวมทั้งยังมีปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ และเงินเยนแข็งค่าอย่างมากเมื่อเทียบกับสกุลดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายเชื่อว่า SET Index ในเดือนนี้น่าจะแกว่งตัวขึ้นได้ เพราะมีปัจจัยบวกภายในประเทศเข้ามาสนับสนุนมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของเดือน หากความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศคลี่คลาย และประเด็นหุ้นกู้ EA มีความชัดเจน ทำให้ปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทยน่าจะอ่อนแรงลง
ขณะเดียวกัน มีความคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย หรือ GDP ในไตรมาส 2 ที่จะมีการประกาศออกมาเร็ว ๆ นี้ น่าจะมีความแข็งแกร่งมากกว่าในไตรมาส 1
เมื่อบวกกับความคืบหน้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ทั้งการปรับเกณฑ์ใหม่กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน หรือกองทุน Thai ESG, การเปิดลงทะเบียนผู้มีสิทธิ์รับแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต (digital wallet) และการเดินหน้าแผนงานของกระทรวงการคลังในการออกกองทุนวายุภักษ์รอบใหม่
ในภาวะการลงทุนเช่นนี้ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ได้รวบรวมคำแนะนำการจัดพอร์ตลงทุนของโบรกเกอร์แต่ละราย พบว่า บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) มุ่งเป้าให้นักลงทุนกลับมาเน้นหุ้นธีมเศรษฐกิจภายในประเทศ เนื่องจากมองบวกมากขึ้นจากปัจจัยดังกล่าว
โดย 5 หุ้นเด่นในเดือนสิงหาคม 2567 ที่โบรกเกอร์รายนี้แนะนำ ประกอบด้วย 1.ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL 2.ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB 3.บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL 4.บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM และ 5.บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE
ทั้งนี้ สาเหตุที่แนะนำ BBL และ KTB มองว่าจากภาวะเศรษฐกิจในระยะสั้นยังเปราะบาง จึงควรเลือกธนาคารที่มีความเสี่ยงทางธุรกิจต่ำ และมีภูมิคุ้มกันหนี้เสียในระดับสูง ในสถานการณ์ภาพรวมของทั้งกลุ่มธนาคารที่ราคาหุ้นต่ำลงแล้ว และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลยังสูง ทั้ง BBL และ KTB น่าจะมี downside จำกัด
สำหรับ CPALL เชื่อว่าจะได้อานิสงส์จากทั้งความคืบหน้าเรื่องมาตรการ digital wallet และการที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติสิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุน Thai ESG เนื่องจาก CPALL เป็นหนึ่งในหุ้นที่มีน้ำหนักมากในดัชนี SETESG
ส่วน BEM คาดว่ากำไรในงวดไตรมาส 2 ปีนี้ จะเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งเมื่อเปรียบเทียบทั้งจากงวดเดียวกันปี 2566 และจากไตรมาสก่อน ในขณะที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มที่เพิ่งผ่านการอนุมัติจะมาช่วยเติมงานโยธาฯ ให้กับบริษัทในช่วงอีก 2-3 ปีข้างหน้า
มุมมองที่มีต่อ TRUE คาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักจะพลิกฟื้นเมื่อเปรียบเทียบทั้งจากงวดเดียวกันปี 2566 และเพิ่มขึ้น 36% จากไตรมาสก่อน นอกจากนี้ TRUE ยังจะได้แรงหนุนจากความคาดหวังว่าจะเห็นการเกื้อหนุน หรือ synergy เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้ และต้นทุนการระดมทุนที่ลดลงหลังจากที่เพิ่งมีการปรับเพิ่มอันดับเครดิต
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ แนะนำ 4 กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ คือ 1.กลุ่มหุ้นโรงกลั่นที่มูลค่า (Valuation) ลงมาต่ำมาก และเตรียมผ่านพ้นจุดต่ำสุดของรายได้-กำไร (Earnings) ในช่วงไตรมาส 2 แล้ว ได้แก่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP), บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BCP), บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) (SPRC)
2.กลุ่มหุ้นโรงไฟฟ้าที่ราคาหุ้นรับข่าวการตรึงค่า Ft ไปแล้ว และได้เซนติเมนต์ (Sentiment) เชิงบวกจากการปรับลงของผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ได้แก่ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF), บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC), บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (BGRIM)
3.กลุ่มส่งออกที่มียอดการส่งออกในเดือนล่าสุดอยู่ในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง ได้แก่ บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) (STA), บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) (NER), บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (TEGH),
บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) (COCOCO), บมจ.เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (AAI), บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (ITC), บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TU), บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) (GFPT), บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CPF), บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) (KCE)
4.กลุ่มหุ้นโรงพยาบาลที่เตรียมเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น (High Season) ในไตรมาส 3 ได้แก่ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) (BDMS), บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) (BH), บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) (BCH), บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) (CHG)
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส แนะนำหุ้นน่าจะมีกำไรโดดเด่นในครึ่งหลังของปี 2567 คือ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)(AOT), บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) (BJC), บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน)(PLANB), BEM, BDMS, GFPT
เหล่านี้คือหุ้นที่โบรกเกอร์เฟ้นหามาให้ว่าเป็นหุ้นเด่นที่จะสามารถหลบภัยจากปัจจัยรุมเร้าได้ และถือเป็นหุ้นที่น่าสนใจลงทุนเดือนสิงหาคม