ขายก่อนซวย!
เป็นอย่างที่รู้กันดีว่า วันพรุ่งนี้จะเป็นวันชี้ชะตานายกฯ “เศรษฐา” ซึ่งจะส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ
เป็นอย่างที่รู้กันดีว่า วันพรุ่งนี้จะเป็นวันชี้ชะตานายกฯ “เศรษฐา” ซึ่งจะส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ ถ้าผลออกมา “รอด” น่าจะทำให้บรรยากาศการเมืองดีขึ้น และจะทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น..ถ้าผลออกมา “ไม่รอด” น่าจะทำให้ตลาดหุ้นอึมครึมต่อไปอีกระยะหนึ่ง และประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องพิจารณาความเสี่ยงด้วยตนเองนะคะ
วันนี้เลยต้องถามตรง ๆ กันอีกครั้งว่า อิทธิพลที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทยมีอะไรบ้าง? เพราะสิ่งที่เห็นชัด ๆ ในตอนนี้คือ ตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งล้อไปกับตัวเลขเศรษฐกิจของอเมริกา และแนวโน้มในการลดดอกเบี้ย ขณะเดียวกันเมื่อเหลือบมองอิทธิพลในประเทศจะเห็นว่า ส่วนใหญ่ยังอยู่ที่เรื่องเศรษฐกิจในประเทศ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งความมั่นคงของรัฐบาลด้วยนะจ๊ะ
ฉะนั้นเมื่อจะมีการอ่านคำพิพากษาเสี่ยนิดในวันที่ 14 ส.ค. จะได้โอกาส “ไปต่อ” หรือ “ไม่ได้ไปต่อ” ย่อมเป็นปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนต้องประเมินกันเอาเองว่า คุ้มที่จะเสี่ยงขนาดไหน? แต่สำหรับตัวอีฉันขอถอยออกมาห่าง ๆ เพื่อดูคำตัดสินของเรื่องดังกล่าวดีกว่า เพราะขนาดช่วงเช้าวันศุกร์ดัชนีดีดตัวขึ้นไปถึง 12 จุด แต่คล้อยหลังได้ 1 ชม. ก็มีแรงขายออกมาเป็นระลอกนะจะบอกให้
สถานการณ์ข้างต้นเหมือนบอกใบ้ให้รู้ว่า นักลงทุนกลุ่มต่าง ๆ ก็กังวลประเด็นการเมืองในประเทศเหมือนกัน..ไม่เช่นนั้นคงวิ่งขึ้นแรงตามตลาดหุ้นต่างประเทศไปแล้ว “โมนิก้า” ถึงอยากให้นักลงทุนประเมินการยืนปิดที่ระดับ 1,297.07 จุด บวกไป 0.82 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.29 หมื่นล้านบาท เหมาะต่อการลงทุนไหม? (ถ้าไม่มีเรื่องการเมือง ดัชนีระดับนี้น่าเข้าไปเล่นสั้น ๆ) เจ้าค่ะ
คิดดูแล้วกัน!..ขนาดหุ้น TIDLOR หลายคนมองว่า น่าลงทุนเพราะราคาหุ้นลงมาลึก แต่ทันทีที่ประกาศงบแล้วเห็น NPL โผล่ขึ้นมาปุ๊บ ก็ทำให้นักลงทุนสาดหุ้นออกมาอย่างหนัก จนราคาหุ้นทรุดตัวลงมาปิดที่ระดับ 13.80 บาท ลบไป 1.90บาท หรือลงไป 12.10% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.26 พันล้านบาท พร้อมกับมีการหั่นเป้าลงมาอีก เพราะเห็นกันตำตาว่า เศรษฐกิจไทยอ่อนแอขนาดไหน? จึงเชื่อว่า ไตรมาส 3 มีปัญหาแน่นอนจ้า
ส่วนในรายของ SAWAD น่าจะมีปัญหาในลักษณะที่คล้ายกับรายข้างต้น แต่ที่น่าเป็นห่วงมากกว่ารายข้างต้นก็คือ ดันมีคดีความเรื่องเก็บดอกเบี้ยไม่เป็นไปตามกฎหมาย ส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาเมื่อยกตัวสูงขึ้น จนกลายเป็นหนามทิ่มแทงความมั่นใจของนักลงทุนตลอดเวลาแบบนี้ “โมนิก้า” เลยไม่แปลกใจที่หุ้นตัวนี้ขยับขึ้นไปไหนไม่ได้สักที และเข้าใจเหตุผลที่ราคาหุ้นยืนปิดที่ระดับ 29.25 บาท ลบไป 1.50 บาท หรือลงไป 4.88% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 278 ล้านบาทนะตัวเอง
ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” อยากเอ่ยถึงหุ้น OR เป็นรายถัดมา เพราะแรงขายที่ทยอยออกมาเป็นระลอกก่อนหน้านี้ สุดท้ายได้รับเฉลยอย่างเป็นทางการว่า ทั้งหมดเกิดจากขายน้ำมันลดลง และมีต้นทุนสูงขึ้น รวมถึงกำไรจากการพิเศษลดลง จึงเชื่อได้ทันทีว่า กำไรไตรมาส 3 มีโอกาสลดลงอีก สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นลงมาปิดที่ระดับ 14 บาท ลบไป 0.80 บาท หรือลงไป 5.41% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 351 ล้านบาทพะย่ะค่ะ
เมาท์ถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” ต้องมองไปที่หุ้น SINGER เพราะเป็นดัชนีชี้วัดเกี่ยวกับเงินในกระเป๋าของประชาชน และการที่หุ้นร่วงลงมาแบบไม่มีดิสเบรก ก่อนจะปิดไปที่ระดับ 6.50 บาท ลบไป 0.65 บาท หรือลงไป 9.09% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 53 ล้านบาท ย่อมเป็นการตอกย้ำความไม่มั่นใจที่มีต่อธุรกิจสินค้าเงินผ่อนกำลังอยู่ในช่วงขาลง จึงทำให้ไอ้เสือถอยกันเป็นแถบเจ้าค่ะ
สถานการณ์ดังกล่าวถูกย้ำอีกครั้งด้วยราคาปูนใหญ่ SCC ร่วงลงมาชนิดมองไม่เห็นก้นเหวอยู่ตรงไหน? ซึ่งทำให้ “โมนิก้า” เข้าใจถึงสถานการณ์ของธุรกิจ “กระดาษ ปูน ปิโตรฯ” อยู่ในช่วงถดถอย อันเป็นผลมาจากกำลังซื้อของประชาชนลดลงต่อเนื่อง และเป็นเหตุให้ราคาหุ้นลงมายืนปิดที่ระดับ 196.50 บาท ลบไป 3 บาท หรือลงไป 1.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 374 ล้านบาท พร้อมกับทำราคาต่ำสุดในรอบ 14 ปี 11 เดือนไงล่ะจ๊ะ
โมนิก้า: และทีมงาน